วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 25, 2551

การส่งออกปี 2552 อาจจะเผชิญความเสี่ยงรุนแรงกว่าที่คาด


จากการรายงานข้อมูลการค้า ระหว่างประเทศของไทย ล่าสุด โดยกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2551 ที่ผ่านมา ตัวเลขเดือนพ.ย. บ่งชี้ สถานการณ์การส่งออกที่ประสบปัญหารุนแรงกว่าที่คาด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะเดือนถัดๆ ไป
การส่งออกของไทยในเดือนพ.ย. 2551 หดตัวลงมากกว่าที่หลายฝ่าย คาดการณ์ไว้ โดยมีมูลค่า 11,870.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงถึงร้อยละ 18.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นอัตรา ที่ต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปี จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.2 ในเดือนต.ค. และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 24.3 ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 13,072.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.0 (จากที่ขยายตัวร้อยละ 21.7 ในเดือนต.ค.) ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนนี้ขาดดุล 1,202.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการขาดดุลรายเดือนเป็นเดือนที่ 7 ของปีนี้ ทั้งนี้ภาพรวมในช่วง 11 เดือนแรก ปี 2551 การส่งออกของไทยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 166,235.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 19.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 167,398.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 30.9 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,162 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การหดตัวของการส่งออกใน เดือนพ.ย. ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. จนกระทั่งเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ต้อง พึ่งพาการขนส่งทางอากาศ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในช่วง 5 วันสุดท้ายของเดือนพ.ย. สูญเสียไปประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ถ้าขจัดผลของเหตุการณ์ปิด ท่าอากาศยานออกไปแล้ว การส่งออกในเดือนพ.ย. ก็ยังลดลงประมาณร้อยละ 10 ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกในเดือนนี้ลดลงจึงน่าจะเป็นผลมาจากสภาวการณ์เศรษฐกิจในหลายภูมิภาค ทั่วโลกที่อ่อนแอลง สังเกตได้ว่าสินค้าส่งออกที่ไม่ต้องอาศัยการขนส่งทางอากาศก็ปรับตัวลดลงหลายรายการ โดยในกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรก มีสินค้าถึง 8 รายการที่หดตัวลง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (ลดลงร้อยละ 18.3) น้ำมันสำเร็จรูป (ลดลงร้อยละ 37.6) อัญมณีและเครื่องประดับ (ลดลงร้อยละ 25.9) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 33.6) แผงวงจรไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 31.6) ข้าว (ลดลงร้อยละ 36.2) เม็ดพลาสติก (ลดลง ร้อยละ 40.8) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 5.4) ส่วน สินค้า 2 รายการที่ยังขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ขยายตัวร้อยละ 4.2) และผลิตภัณฑ์ยาง (ขยายตัวร้อยละ 10.5) แต่ก็เป็นทิศทางที่ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก
เมื่อพิจารณาตลาดส่งออกที่สำคัญ ตลาดหลักมีการส่งออกลดลงทุกภูมิภาค โดยตลาดสหรัฐลดลงร้อยละ 14.5 สหภาพยุโรปลดลงร้อยละ 16.7 ญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 8.4 อาเซียน 5 ประเทศ ลดลงถึงร้อยละ 30.6 สำหรับตลาดใหม่ ส่วนใหญ่ลดลงยกเว้นอินเดีย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2) ยุโรปตะวันออก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6) ตะวันออกกลาง (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.7) โดยการส่งออกไปจีนลดลงถึงร้อยละ 36.3 และออสเตรเลียลดลงร้อยละ 19.2 เป็นต้น
การส่งออกของไทยที่ลดลงนี้นับว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยจากข้อมูลการส่งออกในเดือนพ.ย. 2551 ของหลายๆ ประเทศที่ประกาศออกมาในช่วงก่อนหน้านี้ พบว่าการส่งออกของจีนหดตัวลงร้อยละ 2.2 ไต้หวันหดตัวร้อยละ 23.3 เกาหลีใต้หดตัวร้อยละ 19.0 และสิงคโปร์ (มูลค่าการส่งออกไม่รวมน้ำมัน) หดตัวร้อยละ 17.5 และญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 26.7 สะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ ลงอย่างมากนั้นกำลังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของภูมิภาคเอเชีย
เมื่อประเมินจากสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งการส่งออกของไทยที่ ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาด ทิศทางการส่งออกของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ที่หดตัวลงเช่นเดียวกัน ประกอบกับสาเหตุของการหดตัวดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจในภูมิภาคหลักของโลกเริ่มประสบภาวะถดถอยอย่างชัดเจนในช่วงประมาณไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ของปี 2551 ขณะที่เศรษฐกิจโลกในระยะไตรมาสข้างหน้ายังมีความเปราะบาง จากปัญหาวิกฤตในภาคการเงินที่ยังไม่ สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นผลกระทบที่แผ่ขยายออกไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะ ผลต่อภาวะการจ้างงาน จะยิ่งเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในประเทศต่างๆ คงจะต้องใช้ระยะ เวลายาวนานมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี สัญญาณล่วงหน้าจากคำสั่งซื้อที่เข้ามายังผู้ประกอบการส่งออกไทยที่ลดลงอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้บ่งชี้แนวโน้มที่ตัวเลขการส่งออกของไทยน่าจะมีทิศทางที่ลดลงต่อไปอีกอย่างน้อยในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกในเดือนธ.ค. น่าจะยังคงหดตัว ต่อเนื่อง แต่อาจเป็นอัตราที่น้อยกว่าในเดือนพ.ย. ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงวันแรกๆ ของการปิดท่าอากาศยาน การหดตัวของตัวเลขส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะส่งผลให้การส่งออกตลอดทั้งปี 2551 นี้อาจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 15.5 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 17.2 ในปี 2550 ทั้งนี้สภาวะที่การส่งออกจะขยายตัวในอัตราที่ติดลบนี้น่าจะยังคงต่อเนื่องต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 และถ้าคำสั่งซื้อสินค้า ล่วงหน้าสำหรับช่วงฤดูกาลส่งออกใน รอบปีหน้าเริ่มกลับเข้ามา ก็น่าจะเป็นผลให้การส่งออกกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์อัตราการขยายตัวของการส่งออกของไทยในปี 2552 อยู่ในช่วงระหว่างขยายตัวร้อยละ 0.0 ถึงหดตัวร้อยละ 5.0
นับจากนี้แนวโน้มการส่งออกของไทยยังมีโอกาสเผชิญความเสี่ยงในด้านลบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ซึ่งยังคงต้องติดตามผลสัมฤทธิ์ของการผ่อนคลายนโยบายการเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ ผลักดันออกมาใช้อย่างเข้มข้น ว่าจะก่อเกิดผลในทางบวกที่จะช่วยดึงให้เศรษฐกิจโลกหลุดพ้นจากภาวะถดถอยและกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วเพียงใด ขณะที่นโยบายของรัฐบาลใหม่ในการดูแลการส่งออกเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการเพิ่มทูตพิเศษพาณิชย์เพื่อผลักดันขยายตลาดสินค้า น่าจะมีส่วนช่วยผู้ประกอบการส่งออกในการแสวงหาตลาดใหม่ได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดังที่เห็นสัญญาณแล้วว่าตลาดใหม่ในหลายภูมิภาคก็กำลังประสบปัญหา ดังนั้นการผลักดันการขยายตลาดใหม่อาจไม่สามารถมองเพียงเฉพาะตลาดใหม่ในเชิงภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ควรมองตลาดใหม่ในแง่มุมของพฤติกรรมหรือเซ็กเมนต์กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่แตกต่างไป จากเดิม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและ ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ควบคู่กันไปด้วย