วันพุธ, ธันวาคม 31, 2551

ข่าวเด่น ปี 2551 - ข่าวที่ 5

5.เกมโหดทะลุจอ ม.6 ฆ่าแท็กซี่

ตีสองเศษของวันที่ 3 สิงหาคม 2551 ตำรวจ สน.บางพลัดจับนายพลวัฒน์ ฉินโน อายุ 19 ปี นักเรียนชั้น ม. 6 ของ ร.ร.วัดมกุฏกษัตริยาราม ก่อเหตุก่อคดีอุกฉกรรจ์ฆ่าปาดคอนายควร โพธิ์แข็ง อายุ 50 ปี คนขับรถ แท็กซี่ เพื่อชิงทรัพย์ เหตุเกิดในซอยจรัญสนิทวงศ์ 77 แขวงบางพลัด เขต บางพลัด กทม. หลังก่อเหตุนายพลวัฒน์พยายาม ขับรถแท็กซี่หนีแต่ขับรถ ไม่เป็นจึงถูกตำรวจจับได้

นายพลวัฒน์ให้ การว่า การก่อเหตุครั้งนี้ เลียนแบบมาจากเกมคอมพิวเตอร์ จีทีเอ หรือ Grand theft Auto ที่เล่นเป็นประจำ ลักษณะของเกมเป็นการไล่ฆ่ากันของแก๊งมาเฟีย เห็นจากเกมว่าการฆ่าคนตายไม่ใช่เรื่องยาก ประกอบกับอยากหาเงินใช้เอง

หลังปรากฏเป็นข่าวออกไป นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รมช.สาธารณสุข สั่งให้กรมสุขภาพจิตประสานกับกระทรวงไอซีที ร่วมกันพิจารณาว่ามีเกมคอมพิวเตอร์ไหนบ้างที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่น เพื่อห้ามนำมาเผยแพร่และห้ามเล่นอีกต่อไป
ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยอีกครั้งของเกมคอมพิวเตอร์ ที่นอกจากจะทำให้เสียเงินและเสียเวลาแล้ว ยังทำให้เด็กนักเรียนที่เข้าไปเล่นเกิดการเลียนแบบ ทั้งยังปลูกฝังให้มีจิตใจโหดเหี้ยม จนก่อเหตุรุนแรงได้อย่างเหนือความคาดหมาย สมควรที่หน่วยงานต่างๆจะต้องควบคุมเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ข่าวเด่น ปี 2551 - ข่าวที่ 4

4.มะเร็งมาฆ่า 'ยอดรัก สลักใจ'

วันที่ 29 มกราคม 2551 นิพนธ์ ไพรวัลย์ หรือ “ยอดรัก สลักใจ” วัย 52 ปี นักร้อง ลูกทุ่งชื่อเฟื่องเลื่องลือกว่า 30 ปี ถูกตรวจพบ เป็นมะเร็งที่ตับ ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังบนหน้า หนึ่งหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆอย่างเกรียวกราว เบื้องแรกยังไม่เป็นที่น่าตื่นเต้นตกใจในหมู่แฟน เพลงเท่าใดนัก เนื่องจากสภาพร่างกายยอดรัก ดูเหมือนคนปกติทั่วไป กระทั่งข่าวอาการป่วยของยอดรักขยายผลกลายเป็นความร้าวฉาน กับนักร้องลูกทุ่งดังยุคเดียวกัน “สายัณห์ สัญญา” พี่เป้าขวัญใจนักเพลงอีกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อ หาว่ายอดรักกุข่าว จนต้องมีการพิสูจน์อีกครั้งเมื่อแพทย์ รพ.ศิริราชฯแถลงผลการตรวจเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ยืนยันอย่างชัดเจนว่า

ยอดรักป่วยด้วยอาการมะเร็งตับจริง นับจากนั้นเป็นต้น มา เพื่อนๆและมิตรรักแฟนเพลงที่มีเสรี รุ่งสว่าง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ได้เริ่มกันช่วยเหลือจัดคอนเสิร์ตและผลิตอัลบั้มเพลงยอดรักเพื่อหาทุนรอนมาใช้จ่ายค่ารักษา ตลอดจนทางยอดรักเองก็ประกาศขายบ้านอีกทางหนึ่ง แต่ แล้ว 4 เดือนถัดมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2551 เวลา 01.05 น. ยอดรักก็สิ้นลมอย่างสงบที่ รพ.พระราม 9 ท่ามกลางความเศร้าอาลัยของแฟนเพลงทั่วประเทศ ต่างหลั่งไหลไปเคารพศพนักร้องขวัญใจเจ้าของเพลงดังนับร้อย อาทิ 30 ยังแจ๋วทหารเรือมาแล้ว กำนันกำใน จักรยานคนจน รักข้ามคลอง เป็นต้น ที่วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม นานกว่า 60 วัน กว่าจะเคลื่อนศพไปตั้งบำเพ็ญ กุศลที่วัดหาดแตงโม ต.งิ้วราย อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร บ้านเกิดของยอดรัก อีก 40 วัน จนครบ 100 วัน และได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 สมเกียรติของนักร้องลูกทุ่งผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทย และยังได้รับการประกาศเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็น “ปริยศิลปิน” อันเป็นการมอบให้แก่ศิลปินที่วายชีพไปแล้วแต่ยังเป็นที่รักของประชาชนอย่างยิ่งยวด.

วันอังคาร, ธันวาคม 30, 2551

ข่าวเด่น ปี 2551 - ข่าวที่ 3

3.ไทยหวิดฉะกัมพูชา ชิงหินพระวิหาร

วันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มีมติเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา กรณีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้น ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากชาวไทยว่าไม่ควรสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารไปด้วย ได้มีการยื่นฟ้องศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉิน มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้ ครม.ดำเนินการใดๆ ตามที่อ้างมติ ครม.

วันที่ 17 มิ.ย.ดังกล่าว ขณะเดียวกันทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เป็นหนังสือสนธิสัญญาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนหรือไม่ กระทั่งวันที่ 8 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา จากนั้น พรรค ปชป.ได้ดำเนินการยื่นถอดถอนนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง วันที่ 10 ก.ค. นายนพดลได้ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือขายชาติตามที่ถูกกล่าวหา ขณะที่รัฐบาลได้แต่งตั้งนายเตช บุนนาค เป็น รมว.ต่างประเทศแทน หลังจากนั้นสถานการณ์ชายแดนไทยบริเวณปราสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จึงตึงเครียดขึ้น จนกระทั่งมีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา จากการลาดตระเวนล้ำพรมแดนของทหารกัมพูชา ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 นาย ส่วนฝ่ายทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทั้งสองประเทศได้พยายามอย่างเต็มที่ในการประสานความร่วมมือไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน จนเหตุการณ์ได้เย็นลงอย่างรวดเร็วเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่บานปลายกลายเป็นสงครามแย่งดินแดนกันอย่างที่ประชาชนชายแดนหวาดผวากัน.

ข่าวเด่น ปี 2551 - ข่าวที่ 2

2.การเมืองผันผวน ม็อบป่วน...เมืองปิด

ภายหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ที่พรรคพลังประชาชน ในฐานะนอมินีของพรรคไทยรักไทย กำชัยชนะเลือกตั้งใหญ่ได้ที่นั่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมาเป็นอันดับ 1 ได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล โดยนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางวิกฤติประเทศจากขั้วอำนาจเก่าใหม่อย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถทัดทานกระแสได้ สุดท้ายวันที่ 9 กันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้นายสมัครหมดสภาพนายกรัฐมนตรี จากการรับจ้างเป็นพิธีกรรายการชิมไปบ่นไป พรรคพลังประชาชนยังไม่ละความพยายามเดินหน้าเสนอนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์การเมืองไทยยิ่งเลวร้าย ลงไปกว่าเดิม โดยขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย 5 แกนนำ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรีจำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ก่อหวอดชุมนุมอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ 25 พฤษภาคม บริเวณถนนราชดำเนินนอก สะพานมัฆวานรังสรรค์ กระทั่งบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เรื่อยมาจนถึงขั้นบุกปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้รัฐบาลนายสมชายได้แถลงนโยบายรัฐบาลก่อนจะปฏิบัติหน้าที่ จนต้องมีการปฏิบัติการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภา เข้าไป ทำให้เกิดเหตุ 7 ตุลาคมเลือด มีผู้เสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บอีกนับร้อยราย ทั้งฝ่ายพันธมิตรฯและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ความขัดแย้งปะทะกันบานปลายกลายเป็นเรื่องระหว่างคนไทย 2 ฝ่าย เสื้อเหลืองหรือพันธมิตรฯ และเสื้อแดงหรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

24 พฤศจิกายน กลุ่มพันธมิตรฯยกขบวนดาวกระจายจากทำเนียบรัฐบาล ไปปิดล้อมทำเนียบชั่วคราวที่สนามบินดอนเมืองไม่ให้รัฐบาลสมชายใช้ประชุม ครม.ได้ ถัดมาอีกวัน 26 พฤศจิกายน พันธมิตรฯยกระดับการต่อสู้ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ด้วยการยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จนกลายเป็นเรื่องที่โลกต้องจับตาดูอย่างที่ไม่ดูไม่ได้ เพราะมีชาวต่างชาตินับแสนคนได้รับผลกระทบอย่างจังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ขณะที่รัฐบาลสมชายที่งัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาใช้ ก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้รับสนองอำนาจไม่ยอมใช้อำนาจที่ได้รับมา แถมตอกหน้ารัฐบาลหงายอย่างสิ้นท่าอีกด้วย จนวาระสุดท้ายของรัฐบาลสมชายมาพบจุดจบเมื่อศาลรัฐ-ธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชนพร้อมกับพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ตามความผิดกฎหมายเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2550 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี พร้อมรัฐมนตรีทั้งคณะ ในทันทีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 นั่นเองที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้ถอนออกจากสนามบินและทำเนียบรัฐบาลในวันต่อมา

นับแต่นั้นเป็นต้นมา การเมืองไทยก็กลับเข้าสู่สภาวะสุญญากาศ ไร้นายกรัฐมนตรี การช่วงชิงอำนาจที่บริหารประเทศระหว่าง 2 ขั้วอำนาจจึงได้เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้งส่งท้ายปี โดยวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พรรคประชาธิปัตย์ ได้รวบรวมรายชื่อ ส.ส. เสนอขอเปิดประชุม สภาฯเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ ปชป.เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคใหม่หมาดๆ ของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเดิม ก็ไม่ยอมรามือ มอบอำนาจให้นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งแต่ แรกตั้งรัฐบาลสมัคร เป็นผู้จัดการจัดเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยเสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นคู่ฟัดชิงกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หล่อใหญ่ค่าย ปชป. ผลปรากฏว่านายอภิสิทธิ์เอาชนะไปด้วยเสียง ส.ส.235 ต่อ 198 ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศไทยคนที่ 27 อย่างสวยงามท่ามกลางหนทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อบนขอบเหวอันน่าระทึกใจ.

ข่าวเด่น ปี 2551 - ข่าวที่ 1

1.สิ้นเจ้าฟ้ากรมหลวง ปวงประชาอาดูร

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์อย่างสงบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ.2551 เวลา 2 นาฬิกา 54 นาที ภายหลังได้เสด็จฯประทับรักษาพระอาการ ประชวร ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551 รวมพระชันษา 84 ปี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ สำนักพระราชวังจัดการพระศพตามโบราณราชประเพณี ถวายพระเกียรติยศสูงสุด ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง นอกจากนี้ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ พสกนิกรทุกหมู่เหล่าเข้าถวายสักการะพระศพ จนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 ปรากฏว่ามีประชาชนจากทุกหนทุกแห่ง ทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้าถวายสักการะพระศพรวมทั้งสิ้น 1,465,911 คน

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 เวลา 21 นาฬิกา 45 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง ท่ามกลางปวงพสกนิกรทั่วทั้งประเทศไทย พร้อมใจกันส่งเสด็จสู่ สวรรคาลัย อย่างสมพระเกียรติของพระองค์ เชษฐภคินีของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 โดยในช่วงเช้าถึงกลางวัน มีขบวนพระอิสริยยศ อัญเชิญพระศพจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปยังพระเมรุอย่างสมพระเกียรติท่ามกลางสายตาของประชาชนชาวไทย และนานาประเทศทั่วโลก

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ได้มีพระราชพิธีเก็บพระอัฐิ นำบรรจุลงพระโกศทองคำ ประดิษฐานที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท วันที่ 17 พฤศจิกายน มีพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานที่พระวิมาน พระ ที่นั่งจักรีมหาปราสาท วันที่ 19 พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ทรงเชิญพระสรีรางคารลงถ้ำศิลา ณ อนุสรณ์สถานรังษีวัฒนา สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม.

วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2551

ปูพรมมาตรการคลังปั๊มเศรษฐกิจพ้นโคม่า


ปี 2551 ถือว่าเป็นปีที่รัฐบาลงัดมาตรการทางการคลังนับไม่ถ้วนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีวิกฤตอยู่ในอาการโคม่า
อันดับแรกการตั้งงบประมาณปี 2551 จำนวน 1.6 ล้านล้านบาท ขาดดุล 1.7 แสนล้านบาท หรือประมาณ 1.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจปี 2551 จะขยายตัวได้ไม่ดี
นอกจากนี้ ยังมีการออกมาตรการภาษีให้หักลดหย่อนจากภาระดอกเบี้ยซื้อบ้านจาก 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงสมัยรัฐบาลขิงแก่
หลังจากที่ต้นปี 2552 ประเทศได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ออกมาตรการทั้งการคลังจำนวนมากทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่จำนวน 3 แสนล้านบาท
หลังจากนั้นมีการออกมาตรการ 4 มี.ค. ซึ่งเป็นมาตรการภาษีชุดใหญ่ แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนที่ 1 เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนมีการเพิ่มเงินได้สุทธิที่ได้รับการลดหย่อนภาษีจาก 1 แสนบาท เป็น 1.5 แสนบาท
เพิ่มวงเงินลดหย่อนค่าซื้อประกันจาก 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท
เพิ่มวงเงินหักลดหย่อนจากการซื้อกองหุ้นระยะยาว หรือ LTF จาก 3 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท และเพิ่มการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ หรือ RMF จาก 3 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท
ส่วนที่ 2 เป็นมาตรการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลดเก็บภาษีกำไร และส่วนที่ 3 เป็นการกระตุ้นการลงทุน มีการลดภาษีธุรกิจเฉพาะการซื้ออสังหาริมทรัพย์จาก 3% เหลือ 0.1% และลดภาษีให้กับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหลือ 25% และ 20% ในตลาดใหม่
ตามมาเดือนเม.ย. รัฐบาลได้ออกมาตรการเงินทุนเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก คือ 1.มาตรการสินเชื่อ ให้สถาบันการเงินของรัฐประกอบด้วยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พักชำระหนี้เกษตรกรให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้พ่อค้าแม่ขายผ่านธนาคารประชาชนให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่อนน้อยให้คนรายได้น้อยที่ซื้อบ้าน
ในส่วนที่ 2 เป็นการใส่เพิ่มเงินทุนกองทุน หมู่บ้าน และส่วนที่ 3 เป็นการเร่งจ่ายเงินในโครงการเพิ่มศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน หรือเอสเอ็มแอลเพิ่มการใช้จ่ายฐานราก
แต่มาตรการที่ออกมาไม่ได้ผล ส่วนหนึ่งสามารถทำได้ทันทีบางส่วนก็มีจำนวนไม่มากพอ ที่จะ พยุงเศรษฐกิจได้ ทำให้ในช่วงเดือนก.ค. 2551 รัฐบาลได้ออก 6 มาตรการ 6 เดือน โดยมีการ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน มีการให้ใช้น้ำไฟขึ้นรถเมล์ฟรีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนคนมีรายได้น้อย เพิ่มเติม
สุดท้ายรัฐบาลตั้งงบประมาณปี 2552 จำนวน 1.8 ล้านล้านบาท เป็นการตั้งงบประมาณแบบ ขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท หรือ 2.5% ของจีดีพีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 และต่อเนื่องไปไตรมาส 2 หลังจากนั้นได้ไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ต่อมาภายใต้รัฐบาลใหม่ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจมีการเร่งออกมาตรการการคลังดูแลทั้งตลาดทุน และประชาชนฐานรากอย่างต่อเนื่อง เริ่มด้วยการออกมาตรการภาษีซื้อหน่วยลงทุนกองทุน LTF และ RMF มาลดหย่อนได้เป็นพิเศษภายในปีนี้อีกอย่างละ 2.5 แสนบาท รวมกับหักลดหย่อนปกติทำให้หักลดหย่อนได้ถึงประเภทละ 7.5 แสนบาท
นอกจากนี้ มีการต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะของอสังหาริมทรัพย์ที่จะหมดในเดือน มี.ค. ปี 2552 ออกไปอีก 1 ปี มีการเร่งเบิกจ่ายเงินโครงการเอสเอ็มแอล
ส่วนความพยายามเพิ่มงบประมาณปี 2552 อีก 1 แสนล้านบาท และลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 25% ไม่สามารถดำเนินการได้ทันเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสียก่อน เกิดการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลแต่หลายฝ่ายก็เชื่อมั่นว่าทั้ง 2 เรื่อง จะเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่เพราะรู้ดีว่าวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงหนักหนาสาหัสมาตรการการคลังที่งัดออกมาใช้ที่ผ่านมายังไม่มากและไม่มีพลังพอที่จะนำพาเศรษฐกิจให้พ้นจากปากเหวได้
ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำในการ จัดตั้งรัฐบาลก็มีมติหว่านเงินอีกระลอก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเรียนฟรี 15 ปี ใช้เงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยสำหรับคนซื้อบ้านในราคาไม่เกิน 8 ล้านบาท เพิ่มวงเงินในการ ตั้งงบประมาณกลางปีจาก 1 แสนล้านบาท เป็น 1.2-1.2 แสนล้านบาท เพิ่มวงเงินในการสนับสนุนโครงการเอสเอ็มแอลเป็น 2 เท่า
ขยายเวลา 6 เดือน 6 มาตรการ เพื่อไทยไปอีกอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี
ยังมีอีกหลายระลอกโปรดติดตามหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาสำเร็จเมื่อใด
มหกรรมการหว่านเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกะพริบตาไม่ทัน
นี่อาจไม่ใช่แค่เป็นความหวังอย่างเดียว แต่รับรองความจริงจะเห็นการปูพรมหว่านเงินของรัฐบาลแน่...

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 25, 2551

การส่งออกปี 2552 อาจจะเผชิญความเสี่ยงรุนแรงกว่าที่คาด


จากการรายงานข้อมูลการค้า ระหว่างประเทศของไทย ล่าสุด โดยกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2551 ที่ผ่านมา ตัวเลขเดือนพ.ย. บ่งชี้ สถานการณ์การส่งออกที่ประสบปัญหารุนแรงกว่าที่คาด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะเดือนถัดๆ ไป
การส่งออกของไทยในเดือนพ.ย. 2551 หดตัวลงมากกว่าที่หลายฝ่าย คาดการณ์ไว้ โดยมีมูลค่า 11,870.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงถึงร้อยละ 18.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นอัตรา ที่ต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปี จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.2 ในเดือนต.ค. และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 24.3 ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 13,072.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.0 (จากที่ขยายตัวร้อยละ 21.7 ในเดือนต.ค.) ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนนี้ขาดดุล 1,202.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการขาดดุลรายเดือนเป็นเดือนที่ 7 ของปีนี้ ทั้งนี้ภาพรวมในช่วง 11 เดือนแรก ปี 2551 การส่งออกของไทยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 166,235.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 19.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 167,398.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 30.9 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,162 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การหดตัวของการส่งออกใน เดือนพ.ย. ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. จนกระทั่งเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ต้อง พึ่งพาการขนส่งทางอากาศ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในช่วง 5 วันสุดท้ายของเดือนพ.ย. สูญเสียไปประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ถ้าขจัดผลของเหตุการณ์ปิด ท่าอากาศยานออกไปแล้ว การส่งออกในเดือนพ.ย. ก็ยังลดลงประมาณร้อยละ 10 ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกในเดือนนี้ลดลงจึงน่าจะเป็นผลมาจากสภาวการณ์เศรษฐกิจในหลายภูมิภาค ทั่วโลกที่อ่อนแอลง สังเกตได้ว่าสินค้าส่งออกที่ไม่ต้องอาศัยการขนส่งทางอากาศก็ปรับตัวลดลงหลายรายการ โดยในกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรก มีสินค้าถึง 8 รายการที่หดตัวลง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (ลดลงร้อยละ 18.3) น้ำมันสำเร็จรูป (ลดลงร้อยละ 37.6) อัญมณีและเครื่องประดับ (ลดลงร้อยละ 25.9) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 33.6) แผงวงจรไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 31.6) ข้าว (ลดลงร้อยละ 36.2) เม็ดพลาสติก (ลดลง ร้อยละ 40.8) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 5.4) ส่วน สินค้า 2 รายการที่ยังขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ขยายตัวร้อยละ 4.2) และผลิตภัณฑ์ยาง (ขยายตัวร้อยละ 10.5) แต่ก็เป็นทิศทางที่ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก
เมื่อพิจารณาตลาดส่งออกที่สำคัญ ตลาดหลักมีการส่งออกลดลงทุกภูมิภาค โดยตลาดสหรัฐลดลงร้อยละ 14.5 สหภาพยุโรปลดลงร้อยละ 16.7 ญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 8.4 อาเซียน 5 ประเทศ ลดลงถึงร้อยละ 30.6 สำหรับตลาดใหม่ ส่วนใหญ่ลดลงยกเว้นอินเดีย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2) ยุโรปตะวันออก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6) ตะวันออกกลาง (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.7) โดยการส่งออกไปจีนลดลงถึงร้อยละ 36.3 และออสเตรเลียลดลงร้อยละ 19.2 เป็นต้น
การส่งออกของไทยที่ลดลงนี้นับว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยจากข้อมูลการส่งออกในเดือนพ.ย. 2551 ของหลายๆ ประเทศที่ประกาศออกมาในช่วงก่อนหน้านี้ พบว่าการส่งออกของจีนหดตัวลงร้อยละ 2.2 ไต้หวันหดตัวร้อยละ 23.3 เกาหลีใต้หดตัวร้อยละ 19.0 และสิงคโปร์ (มูลค่าการส่งออกไม่รวมน้ำมัน) หดตัวร้อยละ 17.5 และญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 26.7 สะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ ลงอย่างมากนั้นกำลังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของภูมิภาคเอเชีย
เมื่อประเมินจากสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งการส่งออกของไทยที่ ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาด ทิศทางการส่งออกของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ที่หดตัวลงเช่นเดียวกัน ประกอบกับสาเหตุของการหดตัวดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจในภูมิภาคหลักของโลกเริ่มประสบภาวะถดถอยอย่างชัดเจนในช่วงประมาณไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ของปี 2551 ขณะที่เศรษฐกิจโลกในระยะไตรมาสข้างหน้ายังมีความเปราะบาง จากปัญหาวิกฤตในภาคการเงินที่ยังไม่ สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นผลกระทบที่แผ่ขยายออกไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะ ผลต่อภาวะการจ้างงาน จะยิ่งเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในประเทศต่างๆ คงจะต้องใช้ระยะ เวลายาวนานมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี สัญญาณล่วงหน้าจากคำสั่งซื้อที่เข้ามายังผู้ประกอบการส่งออกไทยที่ลดลงอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้บ่งชี้แนวโน้มที่ตัวเลขการส่งออกของไทยน่าจะมีทิศทางที่ลดลงต่อไปอีกอย่างน้อยในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกในเดือนธ.ค. น่าจะยังคงหดตัว ต่อเนื่อง แต่อาจเป็นอัตราที่น้อยกว่าในเดือนพ.ย. ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงวันแรกๆ ของการปิดท่าอากาศยาน การหดตัวของตัวเลขส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะส่งผลให้การส่งออกตลอดทั้งปี 2551 นี้อาจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 15.5 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 17.2 ในปี 2550 ทั้งนี้สภาวะที่การส่งออกจะขยายตัวในอัตราที่ติดลบนี้น่าจะยังคงต่อเนื่องต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 และถ้าคำสั่งซื้อสินค้า ล่วงหน้าสำหรับช่วงฤดูกาลส่งออกใน รอบปีหน้าเริ่มกลับเข้ามา ก็น่าจะเป็นผลให้การส่งออกกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์อัตราการขยายตัวของการส่งออกของไทยในปี 2552 อยู่ในช่วงระหว่างขยายตัวร้อยละ 0.0 ถึงหดตัวร้อยละ 5.0
นับจากนี้แนวโน้มการส่งออกของไทยยังมีโอกาสเผชิญความเสี่ยงในด้านลบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ซึ่งยังคงต้องติดตามผลสัมฤทธิ์ของการผ่อนคลายนโยบายการเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ ผลักดันออกมาใช้อย่างเข้มข้น ว่าจะก่อเกิดผลในทางบวกที่จะช่วยดึงให้เศรษฐกิจโลกหลุดพ้นจากภาวะถดถอยและกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วเพียงใด ขณะที่นโยบายของรัฐบาลใหม่ในการดูแลการส่งออกเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการเพิ่มทูตพิเศษพาณิชย์เพื่อผลักดันขยายตลาดสินค้า น่าจะมีส่วนช่วยผู้ประกอบการส่งออกในการแสวงหาตลาดใหม่ได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดังที่เห็นสัญญาณแล้วว่าตลาดใหม่ในหลายภูมิภาคก็กำลังประสบปัญหา ดังนั้นการผลักดันการขยายตลาดใหม่อาจไม่สามารถมองเพียงเฉพาะตลาดใหม่ในเชิงภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ควรมองตลาดใหม่ในแง่มุมของพฤติกรรมหรือเซ็กเมนต์กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่แตกต่างไป จากเดิม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและ ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ควบคู่กันไปด้วย

Talontour with E - Toyota Club

ขอเชิญชวนทุก ๆ ท่าน เข้าไปที่ toyota.fivevision.com ในเว็บนั้น มีการนำเสนอ การเดินทางต่าง ๆ คุณสมบัติ คือ เวลาเข้าไป จะเป็นเกม ท่านต้องมาสมัครก่อน หลังจากนั้น ก็เล่นเกม พิเศษ เกมนี้ไม่ธรรมดา มีเพลงกว่า 2,000 กว่าเพลง จากค่ายเพลง RS สามารถเลือกรถได้ คือ Fortuner และ Yaris ( ยังไม่แน่ใจว่าจะสะกดถูกหรือไม่ ) ในระหว่างที่เล่นเกม จะมีแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ตอบคำถาม เพลงที่มี จาก RS คือ
1 วินาที...ช้าไป และ กฎของแฟนเก่า จาก Lydia เป็นต้น

วันอังคาร, ธันวาคม 23, 2551

ธปท.แนะสัมผัส "รอยนูน" พิสูจน์แบงก์จริง


ธปท.แนะวิธีตรวจสอบแบงก์ของจริงสัมผัสแล้วมี "รอยนูน" ที่ตัวเลขและคำว่ารัฐบาลไทย และหากพลิกเอียงดูสีจะเปลี่ยนบริเวณตัวเลขบอกราคาและแถบฟอยล์
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การตรวจสอบธนบัตรปลอมนั้น ประชาชนทุกคนสามารถตรวจสอบด้วยตนเองได้ด้วยการวิธีการต่างๆ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือการสัมผัสธนบัตรดูรอยนูนบริเวณที่เป็นตัวเลขบอกมูลค่าธนบัตรและคำว่ารัฐบาลไทย ซึ่งธนบัตรของจริงจะสัมผัสรอยนูนได้ชัดเจน ขณะที่ธนบัตรปลอมจะไม่มีรอยนูนขึ้นมา
“วิธีง่ายๆ คือดูเส้นนูนตัวเลข กับคำว่ารัฐบาลไทย เรื่องนูนนี่ปลอมยากเพราะการพิมพ์มีกระบวนการอัดฉีดด้วยความดันสูง ทำให้มีรอยนูนขึ้นมา ถ้าจับดูจะรู้สึกทุกฉบับ แต่กรณีธนบัตรปลอมซึ่งทำโดยการถ่ายเอกสารจะราบเสมอกันหมดทั้งแผ่น ไม่มีรอยนูนในบางจุดเหมือนกับของจริง” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
นอกจาก สัมผัสรอยนูนเพื่อพิสูจน์ธนบัตรแล้ว ดร.ธาริษา กล่าวว่า ยังสามารถสังเกตธนบัตรว่าปลอมหรือจริงได้ด้วยการพิจารณาจากกระดาษที่ใช้พิมพ์ ซึ่งธนบัตรจริงจะมีความหนาและความเหนียวมากกว่าธนบัตรปลอม ทั้งยังสามารถสังเกตด้วยการพลิกเอียงธนบัตร ซึ่งธนบัตรจริงสีของตัวเลขแจ้งราคาและบริเวณแถบฟอยล์จะเปลี่ยนสี เมื่อพลิกเอียงธนบัตร ส่วนของปลอมจะไม่มีการเปลี่ยนสี
“ทุกวันนี้ความมั่นใจสำคัญที่สุดทุกเรื่อง แม้ว่าเทคนิคการปลอมจะเนียนขึ้น แต่ยังสามารถตรวจดูเองได้ ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ทุกคนต้องช่วยกันเอามิจฉาชีพออกจากระบบไม่ให้ลอยนวลอยู่ได้ จริงๆ จำนวนที่พบคิดเป็นประมาณ 5 ใบต่อ 1 ล้านฉบับ ซึ่งถือว่าไม่เยอะแต่เราก็ควรทำให้เหลือน้อยที่สุด” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

วันจันทร์, ธันวาคม 22, 2551

พระบรมราโชวาท หน้าที่ครม. ทำประเทศเป็นสุข


ภายหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ประเทศมีความสุข
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง เฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า
“ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รับฟังรัฐมนตรีที่จะเข้ารับ หน้าที่ต่อไปนี้ ได้ปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งท่านมีหน้าที่ที่สำคัญที่สุดเพราะว่าจะต้องทำให้ประเทศชาติมีความสุข ความเรียบร้อย ถ้าท่านทำงานเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อยก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบุญสำหรับประเทศ เพราะว่าประเทศต้องมีคนที่ดูแลความเป็นอยู่อย่างดี ถ้ามิเช่นนั้นไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานของประชาชนทั่วไปได้ดีนัก แต่ถ้าท่านได้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสุข ความเรียบร้อยก็ทำให้ประเทศชาติไปได้ด้วย ซึ่งเป็นความต้องการของประชาชนคนไทยทุกคน ที่จะให้ประเทศชาติดำเนินไปด้วยดี เพราะว่าทำให้สามารถที่จะมีความเป็นไทยอยู่ได้ ก็ขอให้ท่านพยายามที่จะปฏิบัติงานให้ดีที่สุด เพื่อที่จะให้คนไทยมีความเรียบร้อย มีความสุข ถ้าทำไม่ดีจะเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงหรือคนทั่วๆไป ทำไม่ดีคนหนึ่งคนใดก็ทำให้ประเทศชาติล่มจมได้
ฉะนั้นท่านก็มีหน้าที่สำคัญ เพราะท่านอยู่สูง มีหน้าที่สูง เพราะจะต้องทำให้ประเทศชาติดำเนินไปโดยดี ก็ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติงานเพื่อความดีของประเทศ ความสงบสุขประเทศ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่สุด ถ้าทำได้ ท่านเองก็มีความสุขและประชาชนทั่วไปทุกทั่วทั้งหมู่ ทุกเหล่าได้มีความสุขทั้งนั้น คนไหนจะทำอะไรก็สามารถที่จะปฏิบัติงานได้ ถ้าท่านช่วยกันดูประเทศชาติให้มีความราบรื่น ท่านเองก็มีความสุขมั่นคง ฉะนั้นท่านตั้งใจที่ปฏิบัติงานโดยดีนั้น เป็นความดีที่ท่านจะทำสร้างตัวเองด้วย สร้างส่วนรวมด้วย ถ้าส่วนรวมอยู่ดี ท่านก็อยู่ดี ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงานโดยเรียบร้อย ทำให้ทั้งประเทศมีความราบรื่น ซึ่งชาติต้องการความสงบของประเทศ ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงานโดยเรียบร้อยทุกอย่าง และขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการแต่ละส่วนที่ท่านต้องทำ”
นายกฯน้อมรับพระราชดำรัส
ต่อมาเวลา 17.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมด้วย ครม. เดินทางกลับจากการเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ ปฏิญาณมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อขึ้นรถยนต์ส่วนตัวแยกย้ายกลับบ้าน โดยนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อมน้อมนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะที่พระองค์ท่านรับสั่งถึงความสำคัญของการทำงานให้สำเร็จ เพื่อให้บ้านเมืองเรียบร้อย เพื่อความสุขของส่วนรวม และทรงมีรับสั่งถึงความจำเป็นที่จะต้องบริหารบ้านเมืองให้เรียบร้อย เพื่อให้เกิดความสุขของประชาชน และประเทศ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อ้อนคนไทยร่วมมือแก้วิกฤติชาติ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนกรณีการประชุม ครม.
ครั้งแรกในวันที่ 23 ธ.ค.นั้น มีวาระพิจารณาเรื่องนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะต้องการได้รับการอนุมัติจาก ครม.จะได้ดำเนินการส่งให้รัฐสภาต่อไป เมื่อถามว่า วันนี้ได้เป็นนายกฯที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักธรรมาภิบาล อยากฝากอะไรถึงคนไทย นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าบ้านเมืองของเราวันนี้ประสบกับความยากลำบากมาต่อเนื่องพอสมควร มันไม่มีคนใด ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือ ครม.ที่จะสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วง ได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ อยากให้ความมั่นใจว่าตนและ ครม.มาอยู่ตรงนี้ จะทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เพราะฉะนั้นก็ขอความร่วมมือจากท่านมาสร้างประโยชน์สุขร่วมกัน เมื่อถามว่า จะเป็นนายกฯแบบในภาวะที่บ้านเมืองแตกแยก นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ดีกว่าคำพูดคือการกระทำ ตนต้องการเป็นนายกฯที่สร้างความสามัคคีให้กลับคืนมาในชาติ ให้ คนไทยมีความมั่นใจในอนาคต และต่างชาติมีความมั่นใจในประเทศไทย ต่อข้อถามว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รอง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังยืนยันว่าแก๊งออฟโฟร์ในพรรคมีจริง จะเรียกนายเฉลิมชัยมาคุยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า มีโอกาสจะได้คุยกัน
นายกฯยิ้มแย้มก่อนนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ เมื่อเวลา 14.25 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลด้วยรถยนต์ประจำตำแหน่งนายกฯ ยี่ห้อบีเอ็ม-ดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ทะเบียน ศฮ 9021 กรุงเทพมหานคร เพื่อ ถ่ายรูปร่วมกับคณะรัฐมนตรี ก่อนเดินทางเข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยนายกฯใช้เวลาพักผ่อนเตรียมตัวภายห้องทำงานนายกฯ ตึกไทยคู่ฟ้า ประมาณ 30 นาทีแล้วออกมา โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวอย่างยิ้ม แย้มว่า ไปเปลี่ยนชุด ทุกอย่างเรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการหารือกับ ครม.วันนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบ ว่า ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ จะได้ปรารภเรื่องการทำงานและหารือเรื่องต่างๆ ในที่ประชุม อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 ธ.ค. จะมีการแถลงกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
โต้ฉายารัฐบาลไฮแจ๊ค
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 08.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เตรียมแฉขั้นตอนการตั้งรัฐบาลในวันแถลงนโยบายว่า ไม่รู้สึกกังวล และไม่ทราบว่านายเสนาะมีข้อมูลอย่างไร แต่ในวันแถลงนโยบายเป็นโอกาสที่ ส.ส.ทุกคนสามารถอภิปรายตามกรอบตามข้อบังคับได้ อยู่แล้ว ยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ไม่ได้เป็นการปล้นกลางอากาศ หรือไฮแจ๊ค แต่เป็นเรื่องของเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และการลงคะแนนเลือกนายกฯ ก็เป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผย ที่ ส.ส.มีอิสระตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เปิดโอกาสให้วิจารณ์ได้ เราพร้อมที่จะชี้แจง เพราะการดำเนินการทั้งหลายมีความชัดเจนในตัว หลายเรื่องเราก็เปิดเผยต่อสาธารณะอย่างชัดเจน และกระบวนการในการเลือกนายกฯก็เป็นไปอย่างเปิดเผยในสภา
ถ้าเลือกได้ไม่เอาแบบนี้เด็ดขาด
“ผมเคยเรียนหลายครั้งว่า แน่นอน หากคนอย่างผมเลือกได้ว่าจะมาในจังหวะไหน อย่างไร ก็คงไม่เลือกที่จะเป็นอย่างนี้ แต่ขณะเดียวกันทุกอย่างเป็นไปตามกติกาและในวิถีทางของรัฐสภาทั่วโลก เป็นเรื่องปกติมากที่พรรคอันดับ 1 เมื่อเข้าไปบริหารแล้วมีปัญหาก็เปิดโอกาสให้ พรรคอันดับ 2 จัดตั้งรัฐบาล นอกจากนั้นแล้ว แม้ไม่นับกลุ่มเพื่อนเนวิน หรืออดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชน บรรดาประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองที่มาสนับสนุนผม ก็มีมากกว่าประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชน ดังนั้น ตรงนี้ไม่ได้มีปัญหา และคนในต่างประเทศก็เข้าใจ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ไม่บรรจุแก้ รธน.ลงในนโยบาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมชุมนุมใหญ่ ที่ สนามหลวงและเรียกร้องให้ยุบสภาว่า สิ่งที่ต้องการจะทำคือดูแลให้บ้านเมืองสามารถตั้งหลักและเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะขณะนี้ต้องยืนยันความเป็นประธานและความเป็นผู้นำในอาเซียน เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจ และประเทศไทย รวมทั้งคนไทยจะได้ประโยชน์ ขณะเดียวกัน ก็เปิดทางสำหรับการปฏิรูปการเมือง ที่น่าเชื่อได้ว่าในที่สุดต้องนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากตั้งธงที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกรงจะเข้าใจผิด คิดว่าแก้เพื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ รัฐบาลจึงไม่บรรจุเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบาย ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาคัดค้านจากกลุ่มเพื่อนเนวิน เพราะตอนคุยกันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อยู่ในกรอบของการปฏิรูปการเมืองทั้งสิ้น ส่วนความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่นั้น ขณะนี้มีความพยายามที่จะทำให้ทุกอย่างราบ-รื่น มั่นใจว่าไม่มีปัญหา หลังจากนั้นเราก็เอาผลงานมาเป็นตัวช่วยในเสถียรภาพ คิดว่าในช่วง 2-3 เดือนแรกต้องมีความชัดเจนมาก อย่างน้อยที่สุดที่วางตารางเวลาเอาไว้หลังแถลงนโยบายภายใน 1 เดือน คือ เรื่องของอาเซียนกับเรื่องแผนเศรษฐกิจเรียบร้อย
วอน “ทักษิณ” อย่าปลุกมวลชน
เมื่อถามกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯระบุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ย้อนถามว่า รัฐบาลไหน ยืนยันว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เป็นกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรม เชื่อถือได้ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเดินหน้าโฟนอิน นายอภิสิทธิ์ตอบว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดคุยกับใครก็สามารถทำได้ แต่อย่าปลุกระดม หรือกระตุ้นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะคนไทยเดือดร้อนกันมาเป็นปีจึงอยากให้หลายสิ่งหลายอย่างเดินไปข้างหน้าได้ เมื่อถามว่า บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศจะต้องเข้าไปดูแลไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นฐานในการโจมตีประเทศไทยหรือไม่ นายกฯตอบว่า เชื่อว่า มิตรประเทศคงไม่อยากให้ใครใช้ประเทศของ เขามาโจมตีไทย แต่ขณะนี้เราไม่ทราบว่าที่ไปที่มาของ พ.ต.ท. ทักษิณเป็นอย่างไร
ดึงตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งระดมทุน
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่จะเดินทางไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงบ่ายวันที่ 22 ธ.ค.นั้น ตลาดหลักทรัพย์ใช้เป็นดัชนีในการวัดภาวะเศรษฐกิจ และผูกพันอยู่กับเรื่องของความเชื่อมั่นพอสมควรแต่สิ่งที่ถูกมองข้ามคือตลาดหลักทรัพย์ควรจะเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ และที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจของไทยพึ่งพาระบบธนาคารค่อนข้างมาก ดังนั้น ถ้าเราส่งเสริมตลาดทุนได้ก็จะมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ส่วนกรณีที่ถูกมองว่าตลาดหลักทรัพย์ฯกลายเป็นแหล่งการพนันนั้น วิธีที่จะป้องกันคือ ต้องให้คนเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น ต้องหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มีรายได้ไม่มากนักสามารถที่จะเป็นนักลงทุนได้ และมีบริษัทหรือสินค้าที่ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลากหลายมากขึ้น ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมามีข้อครหาค่อนข้างมากในเรื่องของการเมือง เข้าไปเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นในทางที่ไม่ควร ดังนั้น จะต้องให้ความมั่นใจว่ายุคต่อไปนี้ต้องไม่มี และปัญหาข้อมูลภายในต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้คนเฉพาะกลุ่ม โดยหลักสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ที่จะได้รับความเชื่อมั่นก็คือ คนธรรมดาต้องมั่นใจว่าเข้าไปลงทุนแล้วไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
“ชวน” เข้มคนในอย่าสร้างปัญหา
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.45 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่ามีแก๊งออฟโฟร์ในพรรคเข้ามาร่วมจัดการว่า เห็นด้วยกับคนที่ผิดหวังบางคนระบุว่าจะเดินหน้าทำงาน เพื่อไม่ให้รัฐบาลเกิดปัญหาในการทำงาน อยากให้รัฐบาลได้มีเวลาทำงาน เข้าใจว่าขณะนี้ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว เมื่อถามว่า บางคนนายอภิสิทธิ์โทรศัพท์ไปเคลียร์เองแต่ก็ไม่ยอมรับสาย นายชวนตอบว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนน้อยใจ แต่เชื่อว่าจะเบาลง คนที่น้อยใจจะเข้าใจปัญหามากขึ้น เราต้องช่วยกันเพื่อให้รัฐบาลมีเวลาทำงาน ไม่ควรมีปัญหาจากพรรคตัวเอง ส่วนบางคนที่ได้มีโอกาสพูดคุยท่าทีก็ดีขึ้น ยังยินดีที่จะช่วยงานพรรคและรัฐบาล อย่างน้อยที่สุดก็ได้ปรารภให้คนในพื้นที่รับทราบ เพราะอาจเกิดปัญหาที่คนในพื้นที่ไม่เข้าใจ
โยน “อภิสิทธิ์-เทือก” เร่งเคลียร์
เมื่อถามว่า จากการพูดคุยคนที่ออกมาเคลื่อนไหวรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเอง ที่ทำให้พรรคเสื่อมเสียหรือไม่ นายชวนตอบว่า คิดว่าทุกฝ่ายมีข้อจำกัด คนที่ไปประสานในการจัดตั้งรัฐบาลก็มีปัญหามีข้อกำจัดในเรื่องของตำแหน่งที่มีอยู่น้อย ส่วนคนที่หวังหลายคนก็มีความอาวุโส แต่ในหมู่กันเองเห็นว่าบางคนยังมีความอาวุโสน้อย แต่เข้าใจว่าทางผู้จัดตั้งรัฐบาล คงมองในแง่ของการกระจายไปตามภาค เมื่อถามถึงปัญหาความไม่พอใจในการแต่งตั้งนายวีระชัย วีระเมธีกุล เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายชวนตอบว่า เรื่องนี้ไม่ทราบ แต่ หัวหน้าพรรคฯและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคฯจะเป็นผู้อธิบายเอง เมื่อถามว่านายสุเทพท้าสาบานว่าหากมีการรับเงินซื้อเก้าอี้รัฐมนตรีจริงก็พร้อมลาออก โดยไม่ต้องมีหลักฐาน นายชวนตอบว่า ไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น
เตือนระวังเป็นเหยื่อสื่อมวลชน
เมื่อถามย้ำว่า เป็นการตีความผิดหรือเข้าใจผิดใช่หรือไม่ นายชวนตอบว่า ต้องไปถามคนที่พูด แต่หน้าที่ของเราคือต้องช่วยเหลือพรรคให้มีโอกาสได้ทำงาน เพราะ วิกฤติของบ้านเมืองยังรอความหวังอยู่ ดังนั้นไม่ควรจะมีปัญหาทำให้กลายเป็นเหยื่อ เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ส่วนกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ได้มีโอกาสพูดคุยตลอด ส่วนนายเฉลิมชัยยังไม่ได้คุยกัน ความจริงก็ไม่ใช่หน้าที่ของตน แต่มีหน้าที่ช่วย จริงอยู่ที่เป็นประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ แต่หากไม่มีคนมาปรึกษาเราก็ไม่ควรเข้าไปสอดทุกเรื่อง แต่ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพรรคก็พยายามช่วย เพราะส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อเกิดปัญหาก็จะเป็นเหยื่อ สื่อจะตามเรื่องพวกนี้ ดังนั้น คนที่พูดต้องระมัดระวังเรื่องที่พูดออกไปว่าจะกลายเป็นเงื่อนไขต่อไป ดังนั้น อะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรง ควรจะทบทวนดูเสียก่อนว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่มาปฏิเสธทีหลัง เมื่อถามว่า วันนี้ถือว่าทุกอย่างจบหรือยัง นายชวนตอบว่า คนที่ยังน้อยใจยังมีอยู่ต้องเข้าใจ และคงต้องให้เวลาปรับตัว เมื่อถามย้ำว่า นายนิพิฏฐ์ควรจะออกมาชี้แจงเรื่องตัวเงิน 80 ล้านบาทหรือไม่ นายชวนตอบว่า ที่จะต้องออกมายืนยัน ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของนายนิพิฏฐ์เอง
“นิพิฏฐ์” ยอมกลืนเลือดเพื่อชาติ
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เตรียมนำข้อมูล 80 ล้านบาท ที่นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายก รัฐมนตรี บริจาคเงินเข้าพรรคไปร้องต่ออัยการสูงสุด ให้ ยุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายสุรพงษ์ทำวิธีการแบบนี้มาตลอด ทั้งร้องทุกข์ ทั้งแจ้งความ แต่สิ่งที่ทำทั้งหมดไม่มี เค้ามูลความจริงแม้แต่เรื่องเดียว ตนเคยเป็นทนายความในคดีหมิ่นประมาทให้นายสุรพงษ์ หลายคดีเมื่อครั้งอยู่พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่อยากตอบโต้ เพราะรู้ดีว่าข้อมูลของนายสุรพงษ์ ขาดความน่าเชื่อถือ มีพฤติกรรมไม่ต่างจากคนหัวล้านแล้วไปเร่ขายน้ำยาปลูกผม ไม่มีใครเชื่อถือ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จบไปแล้ว สามารถอธิบายกับสังคมได้ในสิ่งที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้ใหญ่ในพรรค แต่เรื่องของพรรคจบไปแล้ว เมื่อถามถึงความขัดแย้งภายในพรรคยุติลงหรือยัง นายนิพิฏฐ์ตอบว่า เมื่อปัญหาเกิดขึ้นทุกคนก็ต้องยอมกลืนเลือด คนที่ผิดหวังไม่ได้รับการเลือกเข้ามาทำงาน ต้องยอมกลืนเลือดเพื่อชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของชาติและประชานเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมยอมเสียสละชีวิตเพื่อพรรค เพื่อประเทศ หลังจากเกิดปัญหาได้หารือกับนายชวน และนายอภิสิทธิ์ โดยตลอด
ขอเวลาทำใจก่อนลุยเพื่อพรรค
เมื่อถามว่ายังคงยืนยันที่จะลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายนิพิฏฐ์ตอบว่า หลังจากทำศึกมาหนักก็อยู่ในอาการอ่อนเปลี้ยเมื่อยล้า ต้องการเวลาพักฟื้นให้สภาพจิตใจและร่างกายกลับมาเข้มแข็งอีกสักระยะ จากนั้นเชื่อว่าสถานการณ์คงจะดีขึ้น เพื่อทำงานปกป้องพรรคต่อไป แต่วันนี้ขอเวลาทำใจก่อน ยืนยันว่าอยู่ที่ไหนต้องมีความสุข หากไม่มีความสุขก็ไม่อยู่ วันนี้จะบอกว่ามีความสุขหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ บอกได้คำเดียวว่า มันชา เหมือนกับคนถูกฉีดยาชา ปัญหาที่เกิดขึ้นอยากให้ผู้ใหญ่ ในพรรคพูดคุยสื่อสารกับสมาชิกให้ใกล้ชิดมากกว่านี้ รวมถึงชี้แจงต่อสาธารณะให้เกิดความเข้าใจ หากมีการปรับความเข้าใจบ่อยและจริงจังกว่านี้ ปัญหาภายในพรรคก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ และทุกคนก็พร้อมที่จะทำงานเพื่อปกป้องพรรคตลอด ส่วนกรณีที่นายชวน หลีกภัย เรียกร้องให้ตนออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ คงต้องขอเวลาปรึกษากับนายชวนก่อน ถ้าว่าอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น เมื่อถามว่ายืนยันว่ามีหลักฐานการบริจาคเงิน 80 ล้านบาทหรือไม่ นายนิพิฏฐ์ตอบว่าอย่าไปพูดถึงขั้นนั้น เพราะที่เปิดเผยเรื่องนี้ต้องการสื่อให้เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นในพรรคบ้าง
“วิทยา” ท้าตรวจสอบเงิน 80 ล้าน
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณีถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในแก๊งออฟโฟร์ว่า เพิ่งทราบจากข่าว แต่ลักษณะอย่างนี้ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงเรื่องนี้ คงเป็นความเข้าใจผิดบางประการ คนที่อยู่ในคิวเป็นรัฐมนตรีแล้วไม่ได้เป็น คงออกมาบ่นเพราะความน้อยใจ และยังมี ส.ส. อีก 10 กว่าคนที่ไม่ได้เป็น เมื่อถามถึงตัวเลขเงิน 80 ล้านบาท ที่บริจาคให้พรรคนั้น นายวิทยาตอบว่า ไม่เป็นไรกับเรื่องนี้ เป็นปัญหาภายในพรรคที่สามารถสอบสวนกันได้ เมื่อถามว่าถ้ามีการสอบสวนจะได้คำตอบหรือไม่ นายวิทยาตอบว่า ต้องได้ เพราะทางฝ่ายค้านไปร้อง ป.ป.ช.ด้วย อย่างไรก็ได้คำตอบอยู่แล้ว เพราะการบริจาคต้องมีที่มาที่ไป อย่างการระดมทุนเข้าพรรคที่ผ่านมา 100 กว่าล้าน ใครให้มาบ้างเรารู้หมด เพราะมีรายชื่อที่ทางพรรคต้องไปแจ้งกับกกต. เมื่อถามว่าหัวหน้าพรรคฯและเลขาธิการพรรคฯออกมาปฏิเสธในเรื่องเงิน 80 ล้านบาท นายวิทยาตอบว่า เป็นคนหนึ่งในคณะทำงานระดมทุน ยังไม่เคยได้ยินว่าใครจะให้เงินมากขนาดนั้น
ครม.คึกคักถ่ายรูปก่อนถวายสัตย์ฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ตั้งแต่เวลา 14.00 น. รัฐมนตรีในรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1” ได้เริ่มทยอยเดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกันก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีที่เดินทางมาถึงเป็นคนแรก คือ นายธีระ สลักเพชร รมว. วัฒนธรรม แต่เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวและช่างภาพดักรอจำนวนมาก ไม่กล้าลงจากรถ โดยให้วนรถไปจอดที่ตึกสันติไมตรี แล้วนั่งรออยู่ในรถจนนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รมช.คมนาคม เดินทางมาถึง จึงยอมลงจากรถ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มทักทายกันอย่างอารมณ์ โดยเฉพาะรัฐมนตรีหน้าใหม่ต่างมีท่าทีตื่นเต้นและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตื่นเต้นที่เข้ารับตำแหน่งครั้งแรก
“มาร์ค” ระรื่นเป็นนายกฯอายุน้อย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่รัฐมนตรีทุกคนถ่ายรูปทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว นายอภิสิทธิ์ได้นำคณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คน ไปถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกร่วมกันบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้าตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยใช้เวลาถ่ายรูปประมาณ 10 นาที บรรยากาศหลังการถ่ายรูปนายกฯได้จับกลุ่มคุยอยู่กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ โดยมีการแซวนับอายุกัน นายอภิสิทธิ์กล่าวติดตลกอย่างอารมณ์ดีว่า “ใน ครม. ถ้านับแล้วผมอายุ 44 ปี มีรัฐมนตรีที่อายุน้อยกว่าผมอยู่คนเดียวคือ น.ส.นริศรา ที่อายุ 42 ปีเท่านั้น” จากนั้นรัฐมนตรีทั้งหมดได้ทยอยเดินขึ้นรถตู้ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไปเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในเวลา 17.00 น.
“วีระชัย” ปัดทุ่ม 80 ล้านแลกเก้าอี้
ทางด้านนายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีเคร่งเครียด กรณีถูกนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ระบุบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์กว่า 80 ล้านบาท แลกกับเก้าอี้รัฐมนตรีว่า ยืนยันไม่เคยบริจาคเงิน 80 ล้านบาท ให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าบนโต๊ะหรือใต้โต๊ะ แต่งานการเมืองไปเกี่ยวกับคนจำนวนมาก ทำให้บางครั้งสิ่งที่เราทำบางคนก็ไม่เข้าใจก็ต้องชี้แจงและอดทนต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เพียงตนที่ต้องอดทนแต่คงต้องอดทนกันทั้งรัฐบาล ถือเป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองคนที่มายืนอยู่จุดนี้ต้องทำใจ ทั้งนี้ ยินดีให้ตรวจสอบทุกเรื่องทุกคนที่ก้าวเข้ามาทำงานต้องได้รับการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้นนี้ หากไม่ได้เกิดขึ้นกับใครคงยากจะเข้าใจ ตนไม่ท้อแท้ ตราบใดที่ได้รับความไว้วางใจจากนายกฯจะตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่ถอดใจ เมื่อถมว่าเตรียมการดูแลเรื่องเศรษฐกิจตามที่ได้รับมอบหมายอย่างไร นายวีระชัยตอบว่า ช่วงที่ชักชวนให้มาร่วมรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อยากให้มาช่วยด้านการประสานงานเศรษฐกิจและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ขณะนี้อยู่ระหว่างการฟอร์มทีม ตนพร้อมเปิดเผยทีมงานและวิธีการทำงานทุกอย่างการเข้ามาทำงานในทำเนียบฯครั้งนี้ของตนเป็นครั้งที่ 3 แล้ว
อ้อนขอโอกาสพิสูจน์ฝีมือก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายนิพิฏฐ์เรียกร้องให้ประกาศจุดยืนทางการเมือง นายวีระชัยตอบว่า การตั้งรัฐบาลทุกครั้งมีลักษณะรัฐบาลผสมและผู้เข้าร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่เคยทำงานกับทั้ง 2 ฝ่าย ของการเมืองมาก่อน ครม.ชุดนี้จำนวนไม่น้อยเคยทำงานกับอีกฝ่ายทางการเมืองมาก่อน เมื่อถามว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายวีระชัยหยุดไปช่วงหนึ่งแล้วตอบว่า “หากไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเองก็ คงไม่เข้าใจ ผมก็ตั้งใจ ขอโอกาสให้ผมได้ทำงานแสดงฝีมือสักระยะให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจวิธีการทำงานของผม จริงๆแล้วผมอยู่ในการเมืองมานานพอสมควรตั้งแต่ปี 2544 รู้จักสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมได้กำลังใจจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หลายคน บางคนแทบจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ” เมื่อถามว่าจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เลยหรือไม่ นายวีระชัยตอบว่า ยินดีและยินดีพูดคุยกับนายนิพิฏฐ์ ตนเป็น ส.ส.ครั้งแรกปี 2544 ไม่สนิทสนมกับนายนิพิฏฐ์ แต่เคยฟังการอภิปรายหลายครั้งก็ชื่นชม หากมีโอกาสเจอจะไปพยายามชี้แจงทำความเข้าใจ ไม่รู้สึกติดขัดอะไรเลยหากจะได้ทำงานกับคนมีความสามารถโดยเฉพาะการอภิปรายในสภาฯของนายนิพิฏฐ์
“เทือก” เมิน พท.ยื่นสอบเงินบริจาค
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแบ่งหน้าที่การทำงานว่า ถ้านายกฯใช้ให้ทำอะไรที่จะทำให้การบริหารบ้านเมืองต่างๆ ทำให้สำเร็จ เราก็ต้องทำ เมื่อถามย้ำว่าถ้าหากได้รับมอบหมายให้ดูแลความมั่นคงจะต้องดูแลความมั่นคงในรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายสุเทพหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า ไม่มีปัญหา เรื่องในรัฐบาลตนคิดว่าไปได้ เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือให้ ป.ป.ช.ดำเนินคดี นายกฯ กับนายกรณ์ กรณีที่ส่งเอสเอ็มเอส และกรณีการบริจาคเงิน 80 ล้านบาท นายสุเทพตอบว่า ไม่หนักใจอะไร เพราะไม่มีเรื่องจริง ไม่มีอะไรที่เป็นความจริง ฉะนั้นไม่หนักใจ ถ้า ป.ป.ช.จะตรวจสอบก็พร้อม จะแสดงข้อมูลหลักฐาน ข้อเท็จจริงให้ทราบ ต้องบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาได้กว่า 60 ปี ดังนั้นต้องทำอะไรอย่างโปร่งใส
โวมีหลักฐานบริจาคชัดเจน
“เรื่องเงินที่มีผู้บริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ทุกๆ รายจะต้องลงบัญชีว่าใครเป็นผู้บริจาค และมีสำเนาบัตรประชาชนแนบมาอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำรายงานส่งถึง กกต.ทุกคนจึงทราบว่าเรามีเงินบริจาค ดังนั้นเรื่องเงินที่ออกมาพูดมาจากการระดมทุน เพราะคิดว่าจะใช้ในการเลือกตั้งทั่วไป จึงมีคนแสดงความจำนงมาประมาณ 300 ล้านบาท โดยทยอยกันให้มา จึงต้องชี้แจงว่าเรื่องเงินบริจาคมีที่มาอย่างชัดเจน ไม่ใช่เรื่องการขายตำแหน่งอย่างที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีนายทุนเข้ามาครอบงำพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองของประชาชน เป็นพรรคของคนทุกคนใครก็ครอบงำไม่ได้” นายสุเทพกล่าว
หยาม “สุรพงษ์” ไร้ราคาค่างวด
เมื่อถามว่า ตัวเลขที่กล่าวมาเป็นตัวเลขเดียวกันกับที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพูด ได้เรียกนายนิพิฏฐ์มาสอบถามหรือยัง นายสุเทพตอบว่า ยัง แต่ไม่เป็นไรอีกหน่อยนายนิพิฏฐ์จะทราบข้อเท็จจริงเองว่าไม่มีเงิน 80 ล้าน ตนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเงิน 80 ล้าน ที่เป็นข่าวมาจากไหน ถ้ามีการสอบสวนเรื่องนี้จริงจะได้โอกาสพิสูจน์ความเป็นจริงให้ทุกฝ่ายได้ทราบ เมื่อถามว่า เรื่องที่นายสุรพงษ์ไปร้องเรียนเป็นกรณีฉกาจฉกรรจ์ที่ท้าทายจริยธรรมของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างมาก หากมั่นใจว่าไม่เป็นความจริง ทางนายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ จะฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายต่อนายสุรพงษ์หรือไม่ นายสุเทพตอบว่า คงไม่เกี่ยวกับพรรค ตนคงไม่ไปดำเนินการอะไรกับนายสุรพงษ์มากมาย เพราะนายสุรพงษ์ไม่ค่อยมีราคาค่างวดอะไรอยู่แล้ว
“กรณ์” ฟุ้งความเชื่อมั่นจะกลับมา
ส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจว่า เราจะแถลงก่อนปีใหม่ เพื่อที่จะเดินหน้าในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ลดภาระค่าใช้จ่าย และต้นทุนของผู้ประกอบการ และของประชาชนที่จะพ้นจากเศรษฐกิจได้ ซึ่งปัญหาที่กล่าวมารัฐบาลรับทราบและเข้าใจ เมื่อถามว่าจะดำเนินการเรื่อง สาธารณูปโภครถไฟ รถเมล์ฟรีอย่างไร นายกรณ์ตอบว่า เรื่องนี้ต้องรอในการแถลงนโยบาย ส่วนความพร้อมในการ นำเสนอก็จะตามมา วันนี้ต้องเตรียมให้เกิดความพร้อมก่อน และรัฐบาลได้เตรียมมาตรการไว้ครบถ้วน และพร้อม นำเสนอต่อสาธารณชนไว้เรียบร้อยแล้ว และความเชื่อมั่น จะกลับมา อย่างไรก็ตาม เรื่องของมาตรการดำเนินงานคาดว่าภายในสัปดาห์นี้ถ้ามีเวลานายกฯได้ฝากเรื่องไว้กับ ตนว่าอยากจะให้มีการพูดคุยกัน เพื่อแก้ปัญหาและรับฟัง ข้อมูลด้านต่างๆ รวมถึงการดำเนินงานของแบงก์ชาติด้วย
“พรทิวา” มั่นใจเปิดตลาดต่างชาติ
ขณะที่นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า มั่นใจมากที่มารับงานด้านนี้ จะทำงานเป็นทีม คงทำงาน คนเดียวไม่ได้ โดยทีมที่ปรึกษาของตนจะมีทั้งผู้ส่งออก นักวิชาการ ผู้สื่อข่าวถามว่า ฟังดูแล้วจะมั่นใจทีมที่ปรึกษา มากกว่าตัวเองหรือไม่ นางพรทิวาตอบว่า ตัวเองมีประสบการณ์ จะบริหารนโยบายในการกระจายงานให้ตรงตาม ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน จะทำงานเป็นทีม โดยจะเปิดตัวทีมที่ปรึกษา วันที่ 24 ธ.ค. เวลา 09.00 น. ที่กระทรวงพาณิชย์ เมื่อถามว่า ขณะนี้ยอดส่งออกของประเทศเดือน พ.ย. ติดลบ 18% จะแก้ปัญหาอย่างไร นาง พรทิวตอบว่า ต้องเข้าใจว่าตอนนี้เกิดวิกฤติโลกที่มากระทบ กับประเทศไทย ยอดส่งออกลดลง เพราะประเทศคู่ค้าของ ไทยเป็นประเทศที่มีปัญหา ในส่วนของประเทศไทยต้องเน้นการดูแลภายในและต่างประเทศที่ต้องเปิดตลาดใหม่ รวมถึงต้องมีการเดินสาย ตนจะเป็นแม่ค้าออกไปขายของ จะทำงานให้เร็วที่สุด ไม่หนักใจ เพราะมีทีมช่วยเหลือที่ดี
“ชุมพล” ดึง “วีระศักดิ์” ที่ปรึกษา
ทางด้านนายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่า จะเข้ากระทรวงวันที่ 24 ธ.ค. เวลา 09.09 นาที เมื่อเข้าไปแล้วจะไปตัดสินการทำงานเรื่องต่างๆทันที ขณะนี้กำลังจัดลำดับความสำคัญแต่ละเรื่อง รวมถึงเรื่องที่ภาคเอกชนขอมาที่มีหลายเรื่อง ทั้งการลดภาษี การขอ ความช่วยเหลือดึงนักท่องเที่ยวกลับมาในช่วงที่เป็นไฮซีซั่น ต้องดูว่าช่วงนี้จะใช้อะไรเป็นประโยชน์ได้บ้าง ไม่ต้องห่วง เชื่อใจได้ ทำได้แน่ เพราะทีมที่ปรึกษาตนใช้ได้ จะเชิญนาย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีต รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา มาเป็น ที่ปรึกษาใหญ่ เมื่อถามว่า นายวีระศักดิ์จะมาเป็นที่ปรึกษา ได้หรือไม่ เพราะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายชุมพลตอบ ว่า ได้ งานราชการ กับงานการเมืองเป็นคนละส่วนกัน ไม่ได้ ให้นายวีระศักดิ์มาทำเรื่องการเมือง ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ย้อน “เสนาะ” หมาหอนบ้านใคร
ขณะที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ กล่าวว่า รู้สึกเฉยๆ เพราะเป็น รมต.เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์มา 3 หนแล้ว ส่วนความมั่นใจว่ารัฐบาลจะยุติปัญหาต่างๆ ได้หรือไม่นั้น ขอฝากถึงนายกฯว่าถ้ารัฐบาลสามารถจัดการปัญหาเรื่องของบุคคลได้ เชื่อมือว่าจะสามารถทำงานได้ เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ระบุว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล ไฮแจ๊ค พล.ต.สนั่นตอบว่า ตนก็เคยทำแบบนี้มา เขาไม่ได้ เรียกไฮแจ๊ค เขาเรียกว่า การโน้มน้าวให้คนมาร่วมรัฐบาลได้ ซึ่งเห็นว่าหากทำเช่นนี้ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว ส่วนที่นายเสนาะออกมาพูด คงพูดในฐานะผู้มีอาวุโส มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง แต่ถ้าจะย้อนไปดูเหตุการณ์ก่อนตั้งรัฐบาล ไม่รู้ว่าคืนหมาหอนเกิดที่หมู่บ้านใด ไม่รู้หมู่บ้านใคร
มั่นใจมือเพื่อนเนวินหยุดเสื้อแดง
เมื่อถามว่า มั่นใจเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.สนั่นตอบว่า ฝากนายกฯไปแล้ว สิ่งที่ตนพูดทั้งหมดคือการฝาก โดยเฉพาะเรื่องการจัดการกับบุคคลที่มาแต่ละ พรรคการเมือง ถ้าสามารถบริหารจัดการได้ การบริหารประเทศก็จะราบรื่น เมื่อถามถึงปัญหาที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 ธ.ค. พล.ต.สนั่นตอบว่า กลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรง มีเพียงครั้งเดียวที่ไปทุบรถ ส.ส. และส่วนตัวยังคิดว่าคนเสื้อแดงจะไม่ก่อความรุนแรง แต่รัฐบาลต้องเตรียมการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงอะไรขึ้นมา ส่วนที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาแสดงความยินดีกับ ส.ส.เพื่อนเนวินที่นครราชสีมา พล.ต.สนั่น ตอบว่า คงเป็นพวกเดียวกัน น่าจะช่วยกันระงับยับยั้งไม่ให้ เคลื่อนไหวได้
“นริศรา” มั่นใจทำงานได้แน่
ทางด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ไม่หนักใจที่ได้มาทำงานด้านการศึกษาเพราะเคยมีประสบการณ์การศึกษาเคยเป็นอาจารย์ ม.กรุงเทพ มา 5 ปี มั่นใจทำงานได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสุชาติ ตันเจริญ หัวหน้ากลุ่มริมน้ำ ได้ให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง น.ส.นริศรากล่าวว่า “เอาไว้ค่อยคุยกัน”
“กษิต” พร้อมลุยงาน
ทางด้านนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟ ประเทศอังกฤษ ระบุกรณีกลุ่มพันธมิตรฯปิดสนามบินเป็นเรื่องสนุกว่า เอาไว้ก่อน ขอติดไว้ก่อน จะอธิบายในเวลาอันควร แต่เชื่อว่าไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เพราะโปรดเกล้าฯลงมาแล้วก็ต้องทำงาน พรุ่งนี้ (23 ธ.ค.) จะลุยเรื่องงาน เมื่อถามว่า ตอนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอังกฤษ มีอารมณ์เป็นกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่ จึงพูดเช่นนั้น นายกษิตตอบว่า ไม่มีๆ มีอารมณ์ของการรับใช้ประเทศชาติ มีอยู่อารมณ์เดียว ตั้งแต่เกิดมาก็รับราชการ สบายใจได้ว่าทุกสิ่งทำเพื่อชาติ ทำสิ่งถูกต้อง ทำงานมา 37 ปี ไม่มีความด่างพร้อย เมื่อถามว่า ห่วงไหมว่า คำพูดดังกล่าวจะถูกนำไปตีความทางลบ นายกษิตตอบว่า แล้วแต่คนว่าฟังอย่างไร มันเป็นเรื่องเมื่อวานนี้แล้ว อย่าไปตีความ เมื่อถามว่า ถูกมองว่าได้เป็นรัฐมนตรี เพราะเป็นโควตากลุ่มพันธมิตรฯ นายกษิตตอบว่า ไม่มี เมื่ออาสาเข้ามาทำงาน ก็ทำงานเต็มที่ ไม่มีใครสั่งให้เข้ามา เมื่อถามว่า เหตุการณ์ในอดีตจะมาทำร้ายตัวเองในปัจจุบันหรือไม่ นายกษิตตอบว่า “ผมยืนอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่เรื่องแห่งความเลวร้าย แต่เป็นเรื่องแห่งความงดงาม”
ยัน ปชป.เคลียร์ “เฉลิมชัย” ได้
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 17.45 น. นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อนรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงยืนยันว่ามีแก๊งออฟโฟร์ เข้ามาจัดโผ ครม.ในพรรคว่า เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ขอให้นายเฉลิมชัยสบายใจได้ว่าตนไม่ได้เป็นแก๊งไหนไม่มีเด็ดขาด นิสัยคนอย่างตนไม่ตั้งแก๊งล็อบบี้หาเผือกร้อนเข้าตัวแน่นอนขอให้สบายใจอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน แล้วเรื่องนี้เอาไว้ ค่อยทำความเข้าใจกัน คงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ขอให้ นายเฉลิมชัยสบายใจก่อน แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในพรรคก็ไม่เป็นไรเอาไว้จัดการกันเองได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นปัญหาภายในพรรคก็จริง แต่ภาพที่ออกมาส่งผลกระทบทำให้ภายนอกมองว่าในพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีเสถียรภาพ นายวิทยาตอบว่า ก็ไม่ดี แต่สื่อมวลชนไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องพรรคจะคุยกันเอง เมื่อถามว่า นายเฉลิมชัยระบุว่านายกฯ ได้โทรศัพท์ไปพูดคุย นายวิทยาตอบว่า นายกฯ ลงไปดูเรื่องนี้ด้วยตนเองถือว่าดีที่สุดแล้ว
“สาทิตย์” โวยไม่มีแก๊งไม่มีกลุ่ม
วันเดียวกันนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ถูกระบุว่าเป็นแก๊งออฟโฟร์ ให้สัมภาษณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ทีเอ็นเอ็น ถึงกรณีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุภายในพรรคประชาธิปัตย์ มีแก๊งออฟโฟร์ว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกับนายเฉลิมชัย แต่ทำงานด้วยกันมาตลอด ประเด็นดังกล่าวทำให้สาธารณะเข้าใจว่ามีใครเป็นไอ้โม่งจัดโผ ครม. ขอยืนยันว่าพรรคไม่มีแก๊งไม่มีกลุ่ม ส่วนกรณีที่จะได้รับการแบ่งงานให้เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลสื่อของรัฐนั้น แนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์ มีความชัดเจนเรื่องสื่อสารมวลชน เนื่องจากเป็นวิชาชีพเฉพาะ มีจรรยาบรรณ ดังนั้น การนำเสนอข่าวต้องมีความรอบด้าน ปราศจากการครอบงำ มีการเปิดพื้นที่ให้สื่อเสรี ที่รับผิดชอบและโปร่งใส ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น หรือสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นส่วนรายการนายกฯพบประชาชนเกิดขึ้นแน่นอน รวมทั้งต้องเปิดพื้นที่รายการให้ฝ่ายค้านพบประชาชนด้วย เพื่อสร้างมาตรฐานสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับข้อมูลครบถ้วนเสียงประชาชนทุกกลุ่มมีโอกาสสื่อสารผ่านสื่อสารมวลชน ไม่ใช่เสียงผู้มีอำนาจฝ่ายเดียว
“เฉลิมชัย” แฉซ้ำ ปชป.มีแก๊งออฟโฟร์
ทางด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ผิดหวังจากตำแหน่งรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ขอยืนยันว่าแก๊งออฟโฟร์ของพรรคประชาธิปัตย์มีจริง หากไม่เชื่อไปสอบถาม ส.ส.ในพรรคที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือเจ้าหน้าที่พรรคจะทราบข้อเท็จจริง การออกมาแสดงความในใจไม่ได้มีความกระสันอยากเป็นรัฐมนตรี เพราะหากจะเป็นสามารถทำได้ตั้งแต่ปี 2548 และยังมีหลายช่องทางที่จะสามารถทำให้ได้ตำแหน่งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ ต้องการให้ กระบวนการของพรรคดีขึ้นและเกิดความเปลี่ยนแปลง โดยต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในพรรคเข้าไปดำเนินการลำพังตัวเองที่เป็นรองหัวหน้าพรรคก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งที่เป็นรองหัวหน้าพรรค เพราะครั้งที่มีการประชุมคณะกรรมการบริหารเพื่อคัดเลือกรัฐมนตรียังถูกเชิญตัวออกจากห้องประชุม อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ตนก็จะเข้าพรรคเพื่อทำงานให้ต่อไปเป็นปกติ ส่วนเรื่องการลาออกนั้นไม่เคยพูดเป็นเรื่องอีกไกลและวันนี้ยังยืนยันว่ามีความศรัทธาพรรคอยู่เช่นเดิมและไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเคลียร์เรื่องนี้ด้วย

เทคนิคตรวจแบงก์ 1,000 ดัดหลังจอมโกง



ข่าวธนบัตรปลอมใบละ 1,000 ระบาด สร้างความปั่นป่วนไปทั่วประเทศ เพราะทำให้พ่อค้าแม่ค้าไม่รับธนบัตรใบละ 1,000 บาท
ส่งผลให้ระบบการค้าขายวุ่นวาย เพราะผู้ซื้อซึ่งก็คือประชาชนทั่วไปต้องหาธนบัตรปลีกย่อยใบละ 100 บาท หรือ 500 บาท มาจ่ายค่าสินค้า
ร้อนถึงธนาคารพาณิชย์ต้องหยอดธนบัตรใบละ 100 บาท ใส่เครื่องเอทีเอ็มเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าจะกดเอทีเอ็มครั้งละ 400 บาท หรือ 900 บาท จากเดิมที่เคยกดเงินครั้งเดียว 1,000 บาท
ที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นก็คือ มีการ ยอมรับจากนายธนาคารทั้งไทยพาณิชย์ และกสิกรไทยแล้วว่า ขณะนี้การระบาดธนบัตรปลอมใบละ 1,000 บาท ตีวงเข้าสู่กรุงเทพมหานคร
จากเดิมธนบัตรปลอมจะขยายตัวอยู่รอบนอกในต่างจังหวัด หรือตะเข็บชายแดนที่มีการค้าขาย โดยกลุ่มเป้าหมายหลักในช่วงเทศกาลปีใหม่
ขณะนี้คือการค้าขายในห้างสรรพสินค้าที่มีเงินสะพัดเป็นพิเศษ เนื่องจากตัวเลขการเพิ่มของจำนวนธนบัตรปลอม พบในสาขาในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น
เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกมากกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ ฝ่ายศูนย์ เงินสดรายหนึ่ง ได้สอนเทคนิคการดูธนบัตรปลอมใบละ 1,000 บาท ซึ่งต้องยอมรับว่า ธนบัตรปลอมใบละ 1,000 บาท ล็อตใหม่ นั้นผลิตได้เหมือนธนบัตรจริง ชนิดดูด้วยตา เปล่าก็ยังไม่เห็นความผิดปกติ เพราะธนบัตรปลอมล็อตนี้จะมีฟอยล์สีน้ำเงินด้านซ้ายเหมือนของจริง เพียงแต่ธนบัตรปลอมจะไม่มีเลข 1,000 บาท ตัวเล็กๆ ในฟอยล์ หากตะแคงธนบัตรดู
ฉะนั้น วิธีการที่ดีสุดคือ ต้องสัมผัสธนบัตร เพราะธนบัตรปลอมกระดาษจะลื่นกว่าธนบัตรจริง และสำหรับพ่อค้าแม่ค้าควรจะมีธนบัตรใบละ 1,000 บาทจริงวางไว้ข้างตัว เพื่อเทียบกับธนบัตรใบละ 1,000 บาทจากลูกค้า
โดยหากนำมาเทียบกันจะเห็นความ แตกต่างชัดเจน ทั้งสีของธนบัตรจริงที่เข้มกว่า ต่างจากธนบัตรปลอมที่สีจะออกหม่น ลายน้ำไม่ชัดเจน
นอกจากนี้ วิธีสังเกตธนบัตรปลอม 1,000 บาท อย่างง่ายที่สุดและรวดเร็วที่สุดสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ให้ดูตัวเลข 1,000 ที่อยู่เหนือธนบัตรมุมขวาบน ซึ่งหากนำธนบัตรวางราบจะเห็นท่อนบนเป็นสีทอง ท่อนล่างเป็นสีเขียว ไม่ว่าของจริงของปลอมจะเหมือนกัน
แต่จะแตกต่างกันทันที เมื่อนำธนบัตรพลิกเอียงให้เลข 1,000 อยู่ในแนวนอน ซึ่งธนบัตรจริงตัวเลข 1,000 จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวล้วน ต่างจากธนบัตรปลอม ต่อให้ตะแคงดูสีที่เลข 1,000 อย่างไร สีท่อนบนก็ยังเป็นสีทอง ส่วนครึ่งล่างก็ยังคงสีเขียว (ดูรูปประกอบ)
อาจมีคำถามว่า วิธีนี้จะใช้สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของตอนกลางคืนได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้ เพียงแต่พ่อค้าแม่ค้าจะต้องมีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น อาจต้องส่องธนบัตรกับไฟในที่สว่าง แต่วิธีนี้รับรองได้ว่าเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพราะตัวเลข 1,000 ของธนบัตรจริงนั้น พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์พิเศษ มีต้นทุนสูงกว่าธนบัตรปลอม
แต่ก็ใช่ว่าโจรหัวใสจะผลิตไม่ได้ เพียงแต่ต้องหาวิธีการและต้นทุนที่สูงขึ้นในการผลิต ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบการลอกเลียนแบบสีของ ตัวเลข 1,000 จึงอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ความตื่นตระหนกของพ่อค้าแม่ค้า ถึงขั้นไปซื้อไฟแบล็กไลต์จากคลองถมเครื่องละ 400-500 บาท มาส่องธนบัตรนั้น พนักงานธนาคารกรุงเทพรายนี้ ยืนยันว่า แทบไม่มีประโยชน์ เพราะต้องเพ่งสังเกตลายขนแมว เท่ากับว่าต้องเป็นไฟที่ส่องได้ดี ซึ่งทางที่ดีควรนำธนบัตรส่องไฟดูลายน้ำพระบรมสาทิสลักษณ์ และรูปลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ์จะโปร่งแสง มีมิติ แต่ธนบัตรปลอมพุ่มทรงข้าวบิณฑ์จะดูแบน ไม่มีมิติ หรือจะพูดภาษาชาวบ้านคือ รูปในหลวงในธนบัตรจริงจะมีความเหมือนจริงมากกว่า
พนักงานธนาคารกรุงเทพรายนี้ ยังให้สังเกตธนบัตรปลอม 1,000 บาท ล็อตใหม่ที่ระบาดหนักสุดขณะนี้ จะมีตัวเลขนำหน้า 9A 650XXXX และ 2D 150XXXX
ส่วนความคิดที่ว่า ให้รับธนบัตร 1,000 บาท ที่ดูเก่าจะดีกว่ารับธนบัตรใบใหม่นั้น เป็นความคิดที่ผิด เพราะธนบัตรที่พนักงานรายนี้นำมาให้ดู ทั้งหมดล้วนเป็นธนบัตรกลางเก่ากลางใหม่ที่ผ่านมือมาแล้วหลายราย หรืออาจเป็นไปได้ว่า ส่วนหนึ่งธนบัตรเหล่านี้จะถูก เก็บไว้ทดสอบกับเครื่องตรวจจับธนบัตรของธนาคาร
ในทางกลับกัน หากรับธนบัตรเก่า สำหรับผู้ที่ไม่สังเกตเนื้อกระดาษให้รอบคอบ ความผิดพลาดก็ยิ่งมีมากกว่าการสังเกตธนบัตรใหม่ ซึ่งอาจสังเกตได้ง่ายกว่า
นอกจากนี้ ยังมีความคิดของพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนที่ให้ขยำธนบัตรจริง กับธนบัตรที่ได้รับจากการขายของไปพร้อมๆ กัน หากธนบัตรใบนั้นคลายตัวได้เร็วกว่า ก็ตีความว่าเป็นธนบัตรปลอม เพราะพ่อค้าแม่ค้ากลุ่มนี้เชื่อว่ากระดาษธนบัตรปลอมจะเนื้อไม่ดี ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง ฉะนั้นอย่านำวิธีนี้ไปใช้โดยเด็ดขาด
พนักงานธนาคารกรุงเทพรายนี้ บอกด้วยว่า หากใครคิดที่จะนำธนบัตรปลอมใส่เครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ แล้วหัวใสไปกดเงินในเครื่องเอทีเอ็ม เพราะจะได้ธนบัตรจริง โดยมีความคิดที่ว่าเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติไม่สามารถตรวจจับธนบัตรปลอมได้นั้น เป็นความคิดที่ผิด เพราะเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติมีระบบการตรวจสอบยูวีและลายน้ำในธนบัตร
อย่างไรก็ตาม การดูธนบัตรนั้น โดยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของผู้รับเงินจะสังเกตเฉพาะด้านหน้าของธนบัตร โดยละเลยที่จะพลิกดูด้านหลัง ซึ่งหากพลิกดูกรณีธนบัตรปลอมบางฉบับจะสังเกตได้ง่าย เพราะลวดลายบนเนื้อธนบัตรจะเห็นชัดว่า เป็นการพิมพ์ บ้างก็สีอ่อน เริ่ม เลือนราง ความประณีตไม่เท่าธนบัตรจริง ฉะนั้นการสังเกตธนบัตรให้ถี่ถ้วนทั้งด้านหน้าด้าน หลัง จึงเป็นสิ่งจำเป็นในยามนี้



วันเสาร์, ธันวาคม 20, 2551

ผวาแบงก์พัน 'แม่ค้า' ไม่รับ


สืบเนื่องจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเตือนให้ประชาชนระวังธนบัตรปลอมที่กำลังระบาดหนักอยู่ในขณะนี้ เช่นเดียวกับสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์-ตำรวจ ก็ได้แนะนำขั้นตอนตรวจสอบธนบัตรแบบง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนบัตรใบละ 1000 บาท เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อรับแบงก์ปลอมมาใช้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. นายวรพร ตั้งสง่าศักดิ์ศรี ผอ.ฝ่ายวางแผนและสนับสนุนการบริหาร สายออกบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์แนะการสังเกตธนบัตรปลอมว่า มีการตรวจพบธนบัตรปลอมได้จำนวนหนึ่ง โดยปีนี้พบ 18,895 ฉบับ มูลค่าปลอมประมาณ 12.3 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วประมาณร้อยละ 74 ซึ่งตามกฎหมายผู้ที่มีเจตนาในการใช้ธนบัตรปลอมโทษสูงสุด 15 ปี ถ้าผู้ทำปลอมโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต
จากนั้นนายวรพรได้แยกแยะวิธีการดูธนบัตรฉบับละ 1000 บาท ปลอม ให้ยึดหลักใหญ่ๆ 3 หลัก คือ การสัมผัส ยกส่อง และพลิกเอียง คือการพลิกไปพลิกมา ซึ่งจะมีเอฟเฟกต์ของการเปลี่ยนสีบางอย่างเกิดขึ้นบนธนบัตร อันแรกการสัมผัส คือสัมผัสที่เนื้อกระดาษ ของ ปลอมเนื้อส่วนใหญ่จะไม่แข็งแรงเหมือนธนบัตรจริง ถ้าของจริงความรู้สึกของความแข็งแรง เนื้อกระดาษที่เป็นของปลอมส่วนใหญ่จะลื่นๆ ของจริงดูสากๆ นอกจากนั้นวิธีการพิมพ์เส้นนูน หมึกจะกองอยู่บนเนื้อกระดาษ ถ้าใช้นิ้วลูบดูจะรู้สึกถึงความนูน เช่น ตัวเลขมุมขวาบน ถ้าของจริงจะมีลักษณะนูน ถ้าปลอมตัวเลขจะเรียบ ในส่วนที่เป็นเส้นนูนคำว่ารัฐบาลไทย กับคำว่าหนึ่งพันบาท จะนูน ฉะนั้นต้องดูหลายๆที่ อย่าดูที่ใดที่หนึ่ง
ส่วนการยกส่องกับแสงไฟ ถ้ายิ่งสว่างยิ่งง่ายจะเห็นในพื้นที่สีขาว สิ่งที่เห็นคือลายน้ำเป็นรูปในหลวงคมชัด ซึ่งของปลอมทำได้เห็นเงา แต่ไม่เห็นลายเส้นของพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ของจริง ลายน้ำคมกริบ และมีความโปร่งสวยงาม การที่ดูอย่าดูว่ามี ให้ดูว่าชัดอย่างไร เพราะตอนนี้วิวัฒนาการปลอมธนบัตรไปถึงขั้นทำลายน้ำแล้ว แต่ทำได้แค่คล้ายๆ การยกส่องจะเห็นเส้นหนึ่งเส้นฝังอยู่ในเนื้อกระดาษด้านซ้าย ถ้าเป็นของปลอมจะมีลักษณะแปะเอาไว้เท่านั้น ซึ่งหากสังเกตดีๆ ในเส้นดังกล่าวจะมีตัวหนังสืออยู่บนเส้นเป็นลายฉลุ มีคำว่าหนึ่งพันบาทตามแนวนอน
อันที่สาม พลิกเอียง สำหรับธนบัตร 500 กับ 1000 บาท มุมขวาบนหมึกจะเปลี่ยนสีหากเป็นของจริงเมื่อพลิกเอียงจะเปลี่ยนสี ของปลอมจะไม่เปลี่ยน นอกจากนั้นให้ดูที่ฟอยล์ แต่ต้องสังเกตดีๆ บนเนื้อฟอยล์จะมีแสงสีวูบวาบมากมาย
นอกจากนั้น ผอ.ฝ่ายวางแผนฯยังระบุด้วยว่า ต้องพยายามสังเกตด้วยความระมัดระวัง หากสงสัยนำมาเทียบกับของจริง โดยอย่าดูรวมๆ ต้องดูในรายละเอียด อีกจุดบริเวณมุมล่างด้านซ้ายจะมีตัวเลข 1000 ซ่อนอยู่ในมุมที่เหมาะสม โดยส่องเข้าหาแสง ซึ่งตอนนี้ของปลอมยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งตอนนี้ผู้ทำปลอมแต่ละรายจะทำได้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกัน
ด้านนายประเวศ สุทธิรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีมีข่าวออกมาว่ามีธนบัตรปลอมหลุดเข้าไปในระบบเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ หรือตู้เอทีเอ็ม ว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่ธนบัตรราคา 1000 บาท ปลอมหลุดเข้าไปในเครื่องเอทีเอ็ม เนื่องจากการปลอมธนบัตรทำได้เหมือนมาก บาง ครั้งพนักงานของธนาคารที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าธนบัตรที่รับมาเป็นของปลอม เพราะจากการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยการส่องไปที่แสงไฟ (เครื่องมือใช้ตรวจสอบพันธบัตร) ยังไม่ทราบเลยว่าเป็นธนบัตรปลอม ตอนนี้ต้องยอมรับว่าปลอมได้เหมือนจริงทุกอย่าง และกว่าจะทราบว่าเป็นพันธบัตรปลอม เงินได้เข้าไปยังศูนย์กระจายเงินจึงตรวจพบว่าเป็นพันธบัตรปลอม ทั้งนี้ในแต่ละวันธนาคารได้รับความเสียหายประมาณ 20,000 บาท และเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นๆ ก็ตกอยู่ในฐานะเดียวกัน ดังนั้น ในจุดนี้อยากให้ทางการและธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาเร่งด่วน
“ตอนนี้แบงก์ปลอมมีมาก และตอนนี้ปลอมได้เหมือน ดูแทบไม่ออก ขนาดส่องไฟตรวจสอบแล้วยังเหมือนของจริงทุกอย่าง และแบงก์ที่ปลอมส่วนใหญ่จะทำมาลอตเดียวกัน ใช้เลขเดียวกันทั้งหมด ตอนนี้ไม่เฉพาะแบงก์พันที่ปลอม แบงก์ดอลลาร์ก็ปลอมเช่นกัน” นายประเวศกล่าว
อย่างไรก็ดี ตลอดวัน ผู้สื่อข่าวได้ออกสำรวจกระแสความตื่นตัวของคนทำมาค้าขายต่อข่าวธนบัตรปลอมระบาด พบว่าหลายแห่งเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยนางลักขณา เกตุแก้ว อายุ 60 ปี หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ป้าแกละ” เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวป้าแกละ หมู่บ้านชลนิเวศน์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีข่าวธนบัตรปลอมระบาด ก็ถูกแก๊งมิจฉาชีพนำแบงก์ 500 บาทปลอม มาหลอกซื้อของแถมยังทอนเงินคืนกลับไปอีก สี่ร้อยกว่าบาท กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าโดนแบงก์ปลอม ก็เมื่อเห็นสีของแบงก์ตก จึงอยากจะเตือนให้ผู้ขายของระวังภัยจากแก๊งมิจฉาชีพพวกนี้ ส่วนตนที่โดนแบงก์ปลอมเข้าไป ก็จะดูรายละเอียดให้มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ร้านยังติดป้าย “แบงก์ 1000 ไม่มีทอน” ป้องกันไม่ให้คนให้แบงก์พัน หรือถ้าให้ก็จะมีจำนวนน้อย ทำให้เราสังเกตได้ง่ายกว่าเดิม
ด้านนางนิภาวรรณ แก้วทอง วัย 34 ปี แม่ค้าขายไก่ทอด ย่านโชคชัย 4 กล่าวหลังจากที่ทราบรู้สึกกลัวมาก กลัวว่าจะเจอกับตัวเอง เวลาที่ลูกค้ามาซื้อของ จะพยายามบอกลูกค้าให้ใช้แบงก์ร้อย หลีกเลี่ยงที่จะรับแบงก์พัน โดยจะบอกปัดว่าไม่มีเงินทอน เพราะดูไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะสังเกตอย่างไร ถ้าพลาดพลั้งไปแล้วจะทำให้ขาดทุนย่อยยับ เพราะของที่ขายมีกำไรเพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลเร่งดำเนินการปราบปรามผู้ค้าแบงก์ปลอมโดยด่วนเพื่อบรรเทาปัญหานี้
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังธนาคารกสิกรไทย สาขาหนึ่งใน กทม. ซึ่งได้รับแจ้งจากประชาชนว่าทางธนาคารดังกล่าวได้นำธนบัตรใบละ 1000 บาท 2 ใบ ซึ่งเป็นธนบัตรปลอม มีหมายเลขกำกับคือ 1G 2216622 และ 9A 6507414 ใส่กรอบติดตั้งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ฝาก ถอน และมีตราของธนาคารประทับว่า “ปลอม” ซึ่งเมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารรายหนึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่า แบงก์ปลอมทั้ง 2 ใบ ตรวจสอบพบเมื่อช่วงเดือน ต.ค. และเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งแบงก์ปลอมทำเหมือนมากจนไม่สามารถแยกแยะได้ ธนาคารจึงนำแบงก์ดังกล่าวมาติดไว้ เพื่อให้ประชาชนดูเพื่อเป็นตัวอย่าง และระมัดระวัง เพราะมีการระบาดของแบงก์ปลอมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแบงก์ 500 บาท เริ่มระบาดเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อผู้สื่อข่าวขอถ่ายภาพตัวอย่างแบงก์ปลอมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารกลับไม่ให้บันทึกภาพ อ้างว่าจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ก่อน แต่เมื่อขอติดต่อผู้จัดการประจำสาขา กลับได้รับคำปฏิเสธว่าไม่อยู่ เพราะติดประชุมที่สำนักงานใหญ่

วันอาทิตย์, ธันวาคม 14, 2551

สุขุมพันธุ์-แก้วสรร-ปลื้ม ลุยขอคะแนนเสียงตลาดสด

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการหาเสียงของผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในวันนี้ ( 14 ธ.ค.)ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) หมายเลข 2 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. ได้ลงพื้นที่หาเสียงที่ย่านตลาดสด เมืองทองธานี 1 เขตหลักสี่ โดยรับปากกับพ่อค้าแม่ค้าว่าจะดูแลให้สถานที่สำหรับซื้อขายสินค้าประเภทอาหารสดต่างๆ ให้มีความสะอาด สวยงาม น่าซื้อขาย และจะทำการจัดระเบียบตลาดสด เช่นเดียวกับ ตลาดสด อ.ต.ก.หรือตลาดสดอื่นๆ ที่มีการพัฒนาไปแล้ว โดยจะเร่งพัฒนาให้สภาพแวดล้อมของพื้นที่ กทม.ให้เป็นพื้นที่สีเขียว มีบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่อาศัยและปราศจากมลพิษ
"สำหรับโพลล์ต่างๆ ที่ออกมาว่า มีคะแนนนำเหนือคู่แข่งทุกคนนั้น ไม่ได้สนใจมากนัก แต่สิ่งที่ต้องทำคือ การเดินหน้าเสนอนโยบายต่อพี่น้องประชาชนชาว กทม.โดยเฉพาะทำอย่างไรให้เมืองหลวงเกิดการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าว
ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. หมายเลข 12 ในนามอิสระ เดินทางไปกราบสักการะอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยขออาสาเข้ามาดูแลพัฒนาเมืองธนบุรี และกล่าวว่า เป็นคนที่โตมาจากฝั่งธนบุรี ซึ่งแม้ว่าตนจะไม่ได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ขอให้ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ จัดเมืองใหม่ สร้างกรุงเทพฯในยุครถไฟฟ้า โดยมีนโยบายสร้างระบบขนส่งระยะสั้น เพื่อขนส่งประชาชน ที่จะเดินทางมาจากรถไฟฟ้า และใช้ประโยชน์จากรางรถไฟเดิม ในการเชื่อมผู้โดยสารที่เดินทางมาจากมหาชัยเพื่อต่อมาเข้าเมือง รวมทั้งทำทางหลักเข้าออกทางทิศตะวันตกด้านเพชรเกษม เอกชัย และถนนพระบรมราชชนนี เป็นต้น โดยประเด็นหลักของการเชื่อมโยงระบบขนส่ง เพื่อเปิดทางให้คนฝั่งธนบุรีสามารถเดินทางเข้าเมืองสะดวกขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น นายแก้วสรรได้เข้าพบปะกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดวงเวียนใหญ่ เพื่อรับรู้ปัญหา โดยเฉพาะความต้องการขายของ 7 วัน โดยกล่าวว่า "หากเหตุผลของการหยุด เพื่อทำความสะอาดตลาดอย่างจริงจัง ก็สมควรหยุด ซึ่งเป็นนโยบายเดิมของนายอภิรักษ์ " หลังจากนั้น จึงไปพบปะกับผู้นำชุมชนเพื่อประชุมหารือถึงข้อดี ข้อไม่ดี ในนโยบายคืนความสุข อย่างไรก็ตาม ด้าน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ คุณปลื้ม ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 ลงพื้นที่หาเสียงตลาด อ.ต.ก. โดยรับฟังปัญหาจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้ใช้บริการตลาดนัดที่ร้องเรียนต่างๆ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่มาสำรวจสภาพตลาดซึ่งพบว่าทั้งสะอาด สว่างน่าเดิน อาจจะนำไปเป็นตัวอย่างให้ตลาดของ กทม.นอกจากนี้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวถึงปัญหาค่าเช่าแพงของผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรด้วยว่า ในเรื่องการต่อสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) คิดว่าจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งเชื่อว่า รฟท. คงคิดค่าเช่าแผงในอัตราที่เป็นธรรม ส่วนตัวจะไม่เข้าไปก้าวก่ายว่าควรอยู่ในอัตราใด ส่วนตลาดโบ๊เบ๊ก็เห็นว่าการขายต้องปฏิบัติไปตามกฎหมาย ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เย็นวันนี้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ จะไปพบกับข้าราชการ กทม.ที่สนามกีฬาศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ เพื่อรับฟังปัญหาและพูดคุยทั่วไป เชื่อว่าจะทำงานร่วมกับข้าราชการ กทม.ได้ไม่มีปัญหา ด้วยทีมรองผู้ว่าฯ กทม.ที่ยังไม่เปิดตัวเป็นผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจระบบการทำงานของข้าราชการเป็นอย่างดีด้าน นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ปีนี้ ว่า เนื่องจากอยู่ในช่วงการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งมีทั้งทั้งการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร( ส.ส.) ในเขต 10 การเตรียมการจัดงานต่าง ๆ จึงมีข้อกฎหมายที่ต้องระมัดระวัง ดังนั้นในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2552 กทม. จะจัดกิจกรรมเฉพาะพิธีสงฆ์และกิจกรรมทางศาสนา โดยในวันที่ 30 ธ.ค.2551 จะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธนวราชบพิตร พระพุทธรูปประจำ กทม. ไปประดิษฐานที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อให้ประชาชนได้สักการะขอพรเป็นสิริมงคลเนื่องในเทศกาลปีใหม่ และจะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตรในวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 ม.ค. พ.ศ.2552 เท่านั้น ส่วนกิจกรรมนับถอยหลังหรือเคาท์ดาวน์ปีเก่าสู่ปีใหม่ 2552 รวมทั้งงานมหรสพหรือกิจกรรมบนเวทีจะไม่มี เพื่อให้เหมาะควรตามกฎหมายเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคเอกชนที่จะมีการจัดงานนับถอยหลังก็ดำเนินการไปได้ตามปกติ
ปลัด กทม. ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่น กทม. ยังกล่าวว่า ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ทั้ง 14 คน ต้องระมัดระวังเรื่องการจัดงานเลี้ยงหรือร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ในเทศกาลปีใหม่ การจัดเลี้ยงตามประเพณีสามารถทำได้ แต่ต้องไม่จัดเลี้ยงในลักษณะจูงใจให้เลือกผู้หนึ่งผู้ใด เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนกรณีผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่แห่สิงโตในการหาเสียง เป็นเรื่องที่กรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ จะต้องสืบสวนตรวจสอบ โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้องเรียน

มีช่องทางติดต่อใหม่

มีช่องทางติดต่อใหม่ คือ ussadrangthai.siam2web.com

วันเสาร์, ธันวาคม 13, 2551

ชมจันทร์ดวงโต โหรทักมีดี-ร้าย

ตามที่องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ หรือ นาซา ออกมาเชิญชวนให้คนทั่วโลกชมปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนวันที่ 12 ธ.ค. ซึ่งจะเห็นพระจันทร์ดวงโตและสว่างที่สุดในรอบปี โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากดวงจันทร์โคจรเป็นรูปวงรี ทำให้มีด้านที่อยู่ใกล้โลกมากกว่าด้านอื่นๆ 50,000 กิโลเมตร ซึ่งในภาษาของนักดาราศาสตร์ ด้านที่อยู่ไกลสุดคือ “อะโพจี” (apogee) และด้านที่ใกล้สุดคือ “เพริจี” (perigee) โดยในคืนวันที่ 12 ธ.ค. ดวงจันทร์จะอยู่ในตำแหน่ง “เพริจี” ส่งผลให้ดวงจันทร์ดูใหญ่กว่าจันทร์เต็มดวงเมื่อช่วงต้นปี ถึงร้อยละ 14 และสว่างมากกว่าร้อยละ 30 ช่วงเวลาดีที่สุดที่จะชมดวงจันทร์คือ ช่วงเวลาที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้าซึ่งเห็นได้ทั้งคืนวันที่ 12 และ 13 ธ.ค.ขณะที่ผลกระทบจากตำแหน่งของดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้โลกนี้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นสูงกว่าปกตินั้น
ด้านความตื่นตัวของคนไทยต่อปรากฏการณ์พระจันทร์ดวงกลมใหญ่กว่าปกติในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายนิพนธ์ ทรายเพชร ราชบัณฑิตทางด้านดาราศาสตร์กล่าวว่า ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. เกิดปรากฏการณ์ ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุดในรอบปี ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าวันอื่นๆคนไทยมักเรียกวันนี้ว่า “วันพระใหญ่” โดยทุกคนสามารถเห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่กว่าปกติ โดยเฉพาะเวลา 23.00-24.00 น. จะเห็นดวงจันทร์ กลมโตสุกสว่างซึ่งสามารถมองเห็นได้ทั่วไป โดยดวงจันทร์ดังกล่าวจะมีความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 33.5 ลิปดา ซึ่งต่างจากดวงจันทร์ปกติที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 30 ลิปดา อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดวงจันทร์ใกล้โลกจะเกิดขึ้นเดือนละ 1 ครั้ง เพียงแต่ระยะห่างจากโลกที่ทำให้เห็นดวงจันทร์กลมโตสุกสว่างจะแตกต่างกัน ซึ่งครั้งนี้ถือว่าดวงจันทร์มีลักษณะโตที่สุด โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าหลังจากนี้จะเกิดขึ้นอีกประมาณ 15-18 ปี
“ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อน้ำขึ้นน้ำลง หากมองเห็นดวงจันทร์กลมโตกว่าปกติ หรืออยู่บริเวณขอบฟ้าย่อมแสดงว่าเป็นช่วงน้ำขึ้น แต่หากเห็นดวงจันทร์อยู่สูงมากหรือไกลออกไปแสดงว่าเป็นช่วงน้ำลงนั่นเอง แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดน้ำท่วม เพราะแรงดึงดูดจากดวงจันทร์จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าปกติไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น” นายนิพนธ์กล่าว
ด้าน น.ส.ประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกนั้น คนไทยสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและมองเห็นได้ทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกดินทางทิศตะวันออก ซึ่งการที่ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกปี โดยดวงจันทร์จะห่างจากโลก เฉลี่ย 380,000 กิโลเมตร แต่สำหรับปีนี้โคจรใกล้ที่สุด 356,566 กิโลเมตร ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติร้อยละ 14 มีแสงสว่างกว่าปกติ ที่เคยเห็นร้อยละ 30 สิ่งที่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป สามารถเรียนรู้ได้ นอกเหนือจากดูความสวยงามของดวงจันทร์แล้ว ความรู้ทางดาราศาสตร์ที่จะได้รับคือ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรี ซึ่งจะทำให้เกิดระยะใกล้และไกล เมื่อดวงจันทร์โคจรใกล้มากขนาดนี้เราก็จะเห็นหลุมต่างๆบนดวงจันทร์ หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็นกระต่ายบนดวงจันทร์ ก็จะเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรที่จะดูดวงจันทร์ด้วยกล้องส่องทางไกล เพราะแสงจะสว่างจ้ามากเกินไป และสามารถดูได้ด้วยตาเปล่าก็สวยงามอยู่แล้ว นอกจากนี้ การที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกเช่นนี้ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะส่งยานอวกาศจากโลกไปสำรวจดวงจันทร์ เพราะจะประหยัดพลังงาน
นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทยกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ในปี 2009 จะเกิดมหกรรมสุริยุปราคารอบปี 2009 ที่สามารถดูได้ในประเทศไทย ในวันจันทร์ที่ 26 ม.ค.2552 ประชาชนจะสามารถสังเกตเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเป็นบางส่วนได้ทั่วทุกจังหวัดของประเทศไทย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง และโลกอยู่ในแนวเดียวกันและระนาบเดียวกัน ซึ่งเงาของดวงจันทร์จะบังแสงดวงอาทิตย์ไม่ให้มาถึงโลก ทำให้เห็นดวงอาทิตย์แหว่งครึ่งดวง หรือแหว่งไปประมาณร้อยละ 45
น.ส.ประพีร์กล่าวอีกว่า สำหรับกรุงเทพมหานครจะสังเกตเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้ตั้งแต่เวลา 15.53 น. จนถึงช่วงที่พระอาทิตย์เกือบตกเวลา 17.59 น. ของวันดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การชมปรากฏการณ์นี้ไม่สามารถชมได้ด้วยตาเปล่า รวมทั้งห้ามใช้ฟิล์มเอกซเรย์ ฟิล์มขาวดำ กระจกรมควันประกอบการดูด้วย ซึ่งอาจทำให้เป็นโรคต้อกระจก หรือตาบอดได้ ทั้งนี้ สมาคมดาราศาสตร์ไทยจะมีการจัดทำฟิล์มพิเศษที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพในการดูปรากฏการณ์สุริยุปราคาเป็นการเฉพาะ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามวิธีการดูเพิ่มเติมได้ที่สมาคมดาราศาสตร์ ไทย 0-2381-7409 นอกจากนี้ ประเทศที่สามารถสังเกตเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาในวันที่ 26 ม.ค.ปีหน้า เป็นวงแหวนจะอยู่ในแถบทะเลมหาสมุทร อาทิ เกาะเซลีเบส ประเทศอินโดนีเซีย เกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ช่องแคบกะริมาตา เกาะบอร์เนียว นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค.2552 ซึ่งประเทศไทยจะเห็นเป็นบางส่วนเท่านั้น ก่อนรุ่งสางเวลา 07.00-09.00 น.
ส่วนความเชื่อของคนไทยที่มีต่อวันพระจันทร์ดวงใหญ่กว่าปกตินี้ พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์กล่าวว่า ปกติวันขึ้น 15 ค่ำ หรือขึ้น 8 ค่ำ ถือเป็นวันมงคล ซึ่งครั้งนี้พระจันทร์เต็มดวง ใกล้โลกมากที่สุด ตามความเชื่อแล้ว ถือว่าเป็นฤกษ์มงคล เป็นวันพระและวันดีในการประกอบกิจการต่างๆ บางคนจะนิยมมาอาบน้ำใต้แสงจันทร์ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ หรือคืนวันเพ็ญ เพราะตามคติความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณ การอาบน้ำใต้แสงจันทร์จะเป็นการเสริมดวงชะตาจากดวงดาว เป็นการขอพรให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อชีวิต ทำให้การทำงานต่างๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ส่วนวันเพ็ญที่ประชาชนนิยมอาบน้ำใต้แสงจันทร์มากที่สุด คือวันเพ็ญ เดือน 12 เพราะเป็นคืนที่มีน้ำขึ้นเต็มฝั่งมากที่สุด ซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การอาบน้ำใต้แสงจันทร์สามารถทำได้ทุกวันเพ็ญ รวมทั้งเป็นการเริ่มต้นของการทำความดี ลดละกิเลสในวันพระด้วย
ขณะที่นายโสรัจจะ นวลอยู่ นักโหราศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า ปรากฏการณ์พระจันทร์ดวงใหญ่กว่าปกติในครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่พระจันทร์เข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 15 ปี ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์แล้ว มีความหมายทั้งเรื่องดีและเรื่องเคราะห์ กล่าวคือในเรื่องที่ดี จะเกิดทิศทางในเรื่องการเมืองที่เป็นในทางสันติ แต่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้นๆ ไม่ถึง 1 เดือน แต่จากนั้นผู้คนจะเกิดความขัดแย้งทางอารมณ์มากขึ้น โดยความขัดแย้งจะทวีมากขึ้นจนถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อได้ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจจะมีผลกระทบอย่างหนักจากทั้งในและนอกประเทศ โดยจะเกิดตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นไป ปัญหาคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น การปล้นของมีค่าเพิ่มมากขึ้น หุ้นจะยังคงตกอยู่ โดยหุ้นจะเริ่มตกตั้งแต่ 2-3 วันนี้ แต่จะสามารถผ่านวิกฤติไปได้ อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงนี้ดูเหมือนสถานการณ์ ต่างๆ จะผ่อนคลายลง แต่หากเลย 1 เดือนไปแล้ว เหตุการณ์ ต่างๆ จะทวีความรุนแรงมากขึ้น การเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้คนไทยสามัคคีกันไว้ ใจเย็น และรู้จักระงับอารมณ์

วันศุกร์, ธันวาคม 05, 2551

ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )


5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้ ฆ

เยาวชนขอคนไทยจงรักภักดี ทำให้ ในหลวง มีความสุข

ฆวันนี้ (5 ธ.ค.) ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง สังคมไทย รัฐบาล และคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีที่เด็กและเยาวชนไทยอยากเห็น กรณีศึกษาเยาวชนที่มีอายุ 15-18 ปีในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 1,925 ตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ติดตามข่าวการเมืองไม่แตกต่างไปจากกลุ่มผู้ใหญ่คือ กว่าร้อยละ 90 ติดตามข่าวการเมืองผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำทุกสัปดาห์
เมื่อสอบถามถึงสิ่งที่เด็กและเยาวชนอยากเห็นในสังคมไทย พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.2 อยากเห็นประชาชนคนไทย ร่วมแสดงความจงรักภักดี ทำให้ในหลวงมีความสุข รองลงมาคือ ร้อยละ 88.4 อยากเห็นผู้ใหญ่ “เลิก” ทะเลาะกัน ร้อยละ 87.5 อยากเห็นคนไทยรักกัน ตลอดไป ร้อยละ 84.5 อยากเห็นความสงบสุขเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างถาวร ร้อยละ 81.4 อยากเห็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ สุจริต
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่ายังมีอีกหลายประการที่เยาวชนกว่าร้อยละ 70 อยากให้เกิดในสังคมไทย อาทิ ให้ทุกๆ ฝ่ายยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยไม่ใช้ความรุนแรง อยากเห็นปัญหาการเมืองได้ข้อยุติโดยเร็ว อยากเห็นนักการเมืองที่ทำผิดถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม อยากเห็นการเมืองใหม่ การเมืองภาคประชาชนที่เข้มแข็ง ด้วยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และอยากเห็นนักการเมืองมีจิตสำนึก เสียสละลาออกง่ายๆ เมื่อสังคมเห็นชัดแจ้งว่า ทำผิด
ส่วนคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เยาวชนต้องการนั้น ดร.นพดล กล่าวว่า เยาวชนเกือบร้อยละ 98.5 ระบุนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องมีความจงรักภักดีต่อสถาบันด้วยความจริงใจ ในขณะที่มีจำนวนมากร้อยละ 97.7 ระบุต้องมีความรับผิดชอบ และต้องกล้าตัดสินใจร้อยละ 97.6 ระบุต้องมีความอดทน อดกลั้น ร้อยละ 97.5 ระบุมีจิตสำนึก จริยธรรมทางการเมือง
ทั้งนี้ ยังพบว่าเยาวชนมากกว่าร้อยละ 90 เรียกร้องว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ มีความเสียสละ รู้จักให้อภัย มีความรวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหาประชาชน ในขณะที่ประมาณร้อยละ 80 ระบุต้องมีการศึกษาสูงตามลำดับ
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถามถึงความเหมาะสมของบุคคลต่างๆ ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ผลการสำรวจพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 47.4 ระบุนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความเหมาะสม ในขณะที่ร้อยละ 33.5 ระบุนายอานันท์ ปันยารชุน มีความเหมาะสม ร้อยละ 32.4 ระบุนายชวน หลีกภัย มีความเหมาะสม ร้อยละ 27.9 ระบุนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ มีความเหมาะสม และร้อยละ 27.3 ระบุพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร มีความเหมาะสม
นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงความเหมาะสมของบุคคลอื่นๆ อาทิ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นายเตช บุนนาค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายชัย ชิดชอบ พบว่าประมาณร้อยละ 25 ที่ระบุว่าบุคคลเหล่านี้มีความเหมาะสม และเมื่อสอบถามความคิดเห็นกรณีการความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น ร้อยละ 67.1 ระบุเห็นด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองได้แล้ว ในขณะที่ร้อยละ 32.9 ระบุไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามความเชื่อมั่นของเยาวชนกรณีการปกครองแบบประชาธิปไตยยังเป็นการปกครองที่เหมาะสมกับประเทศไทยอยู่ แม้ว่าจะมีวิกฤตต่างๆ เกิดขึ้นนั้น พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งคือ ร้อยละ 61.9 ระบุยังมีความเชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนั้นอยู่ ในขณะที่ร้อยละ 19.6 ระบุไม่เชื่อมั่น และร้อยละ 18.5 ระบุไม่มีความคิดเห็น
ท้ายสุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นกรณี ถ้าหากมีสิทธิเลือกตั้งได้ พรรคการเมืองหรือกลุ่ม ส.ส.ที่อยากให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่นั้น พบว่า ร้อยละ 24.7 ระบุอยากให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ในขณะที่ร้อยละ 19.1 ระบุอยากให้พรรคเพื่อไทย (กลุ่มส.ส.เก่าจากพรรคพลังประชาชน) เป็นแกนนำ ร้อยละ 4.1 ระบุพรรคอื่นๆ ทั้งนี้กว่าครึ่งหนึ่งคือร้อยละ 52.1 ยังไม่ระบุพรรคการเมืองที่อยากให้เห็นเป็นแกนนำ